
คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะเสนอรายงานประกอบ
ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม
และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ…ในที่ประชุม สปท.วันที่ 30 มกราคมนี้ เนื้อหาสำคัญที่เป็นประเด็นโต้แย้ง ขององค์กรวิชาชีพสื่อ คือ
การกำหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายฉบับนี้
มีอำนาจหน้าที่ในการรับขึ้นทะเบียน
และออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
อีกทั้งให้มีตัวแทนภาครัฐ 4 ตำแหน่ง อยู่ในคณะกรรมการสภา
ประกอบด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และปลัดกระทรวงการคลัง
ซึ่งจะเป็นช่องทางให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน
โดยผ่านตัวแทนซึ่งเป็นข้าราชการประจำได้
การกำหนดให้วิชาชีพสื่อมวลชน
ต้องมีใบอนุญาต และอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต
ซึ่งเป็นหลักคิดเทียบเคียงกับผู้ประกอบวิชาชีพสาขาอื่นๆ เช่นแพทย์ ทนายความ วิศวกร
ดูเหมือนเข้าใจง่าย เพราะถ้าสื่อมวลชนประพฤติผิดหลักการจริยธรรม เมื่อมีใบอนุญาต
ก็อาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตได้ ทำให้สื่อมวลชนไม่กล้าฝ่าฝืนจริยธรรม
หรือในนัยเดียวกัน หากให้อำนาจสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
ออกใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาให้ใบอนุญาต
ก็อาจจะเข้มงวด
และคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในวิชาชีพนี้ที่มีประวัติการทำงานดี มีความรับผิดชอบ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อสังคมโดยรวม
แต่ความเป็นจริงนั้น การใช้หลักเทียบเคียงวิชาชีพอื่น กับวิชาชีพสื่อมวลชน
มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าจะเรียกเป็นวิชาชีพหนึ่ง
แต่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อก็ไม่จำเป็นต้องจบทางด้านนิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์โดยตรง
ซึ่งแตกต่างจากผู้ประกอบวิชาชีพ แพทย์ ทนายความ วิศวกร ซึ่งจบมาในสาขาวิชานั้น
มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นความรู้ที่จำเป็นเพราะต้องใช้ความรู้นั้นไปในการเยียวยารักษาคนไข้
ดูแลคดีความ และการสร้างหลักประกัน ความมั่นใจให้กับโครงการก่อสร้างต่างๆ แต่สำหรับวิชาชีพสื่อมวลชน
เป็นวิชาชีพที่ต้องมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์
การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น ซึ่งเป็นบทบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ
อย่างน้อยตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี2540เป็นต้นมา
รัฐธรรมนูญให้การรับรองทั้งบุคคลทั่วไป และบุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
โดยรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติเขียนว่า
บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร
หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
รัฐธรรมนูญฉบับประชามติ
มาตรา 34
บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน
การพิมพ์ การโฆษณา
และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ และมาตรา 35
บัญญัติว่า
บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร
หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพจะกระทำมิได้
การให้นำข่าวสารหรือข้อความใดๆ ที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนจัดทำขึ้น
ไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก่อนนำไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่นๆ จะกระทำมิได้ ดังนั้น
การกำหนดในกฏหมายให้วิชาชีพสื่อมวลชนต้องมีใบอนุญาต และอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต
จึงเป็นกฏหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
เราขอคัดค้านกระบวนการปฏิรูปสื่อ
ที่กระทำโดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน
สปท.โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม
และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ.....อีกทั้งกฎหมายอื่นใดที่มีลักษณะ”
ควบคุมบังคับ” อันอาจเสนอในนามคณะบุคคลอื่น เช่น คณะกรรมาธิการ การวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในขณะเดียวกัน ขอยืนยันหลักการกำกับกันเองของสภาวิชาชีพในปัจจุบัน
โดยจะเร่งสร้างกลไกในการกำกับดูแลกันเองให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น
อีกทั้งย้ำเตือนถึง การใช้เสรีภาพของสื่อที่ต้องมีความรับผิดชอบควบคู่กันไปด้วย
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1114 วันที่ 27 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2560 )
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น