ก่อนที่รถม้าจะกระจายไปอยู่บ้านหม้อ
บ้านต้นธงชัย จนกลายเป็นชุมชนคนรถม้าเช่นทุกวันนี้
รถม้าเคยมีอยู่แทบทุกครัวเรือนที่บ้านสิงห์ชัย คนลำปางสมัยก่อนต่างรู้กันดีว่า
บ้านสิงห์ชัยในอดีตนั้น เคยเป็นหมู่บ้านรถม้า มีอู่ซ่อมบำรุงรถม้าถึง 3 อู่ อู่แรกของลุงโอด ชาวชมภู และลุงปอ อู่ที่ 2 ของนายสม
ฟูปิง ส่วนอู่ที่ 3 ของนายอู๊ดมณีวรรณ และนายดี ฟูปิง
ซึ่งทั้ง 3 อู่นี้นอกจากจะซ่อมแซมและปรับปรุงรถม้าแล้ว
ยังทำตัวถัง ทำวงล้อ ประกอบรถม้าทั้งคันก็ยังได้
คนเก่าแก่แห่งบ้านสิงห์ชัยเคยเล่าให้ฟังว่า
คนที่นี่จะดูลักษณะของม้าเป็นสำคัญ ม้าตัวไหนวิ่งดี หรือไม่ดีให้ดูที่หน้าอก
ถ้าหน้าอกกว้าง เวลาวิ่งขาหน้าจะถ่าง เล็บของม้าจะเสียดสีข้อเท้าม้าจนเป็นแผล ก็ต้องแก้ด้วยการเอาผ้าไปพัน
เรียกว่าสนับ เวลาจะซื้อม้าจึงต้องดูที่หน้าอก หน้าอกกว้างไหม ดูขวัญด้วย
ถ้าขวัญอยู่ตรงก้น เขาเรียกจอมหลวงจอมน้อย ถ้าเกิดกับเราไม่เป็นไร
แต่ถ้าซื้อมาจะไม่เป็นมงคล ขวัญม้าจึงเป็นสิ่งที่คนเลี้ยงม้าต้องรู้และดูให้เป็น
หลังจากนั้นพอม้าอายุครบ
3
ปีจะถูกหัดขี่ ชาวบ้านสิงห์ชัยฝึกขี่ม้าเพียงครึ่งชั่วโมงก็เป็นกันแล้ว
แถมยังขี่แบบไม่มีอาน เพราะเชื่อกันว่า ขี่มีอานไม่ใช่พวกลูกทุ่งจริง
แม้จะต้องแลกด้วยอาการ “ก้นแตก” ก็ตาม พวกเขาจะจูงม้าลงไปในแม่น้ำวัง
เพราะม้าจะดีดไม่ได้ ฝึกไปเรื่อย ๆ จนม้า “เคยขา” ก็จะให้เจ้าของขี่แต่โดยดี แหม...หนุ่ม
ๆ บ้านสิงห์ชัยสมัยก่อนคงเท่ไม่หยอก
คนขับรถม้าสมัยนั้นต้องมีใบขับขี่และสวมปลอกแขน
ส่วนรถม้ามีข้อบังคับว่า ตัวถังต้องทาสีฟ้า แต่คาน แหนบ และอื่น ๆ ทาสีดำ
บางคนใส่ลูกเล่นตรงหัวยึดน็อตโดยทาสีแดงก็มีรถม้าจะไปออกันอยู่ที่สถานีรถไฟ
เพื่อรอรับผู้โดยสารที่มาจากแพร่ พิษณุโลก หรือไม่ก็เชียงใหม่
คนขับรถม้าจะสังเกตชะลอมที่ผู้โดยสารถือ ชะลอมคนเชียงใหม่จะตาน้อย ๆ
ถ้าทางแพร่ทางพิษณุโลกชะลอมตาจะห่าง(น่ารักอะ)
รถม้าคันหนึ่งบรรทุกผู้โดยสารได้
4-5
คน เบาะหลังนั่งได้ 3 คน เบาะหน้านั่งได้ 2
คน รถม้าเมื่อก่อนคันใหญ่กว่านี้ นั่งสบาย แหนบนิ่ม
ซึ่งคนที่เชี่ยวชาญการนั่งรถม้าจะรู้ทันทีว่าคันไหนของนอก คันไหนไม่ใช่
ม้าที่แข็งแรงที่สุดสามารถลากรถม้าได้
6
เที่ยว (1 เที่ยวของรถม้าหมายถึงไป-กลับ)
เที่ยวหนึ่ง 6 กิโลเมตร แต่ชาวบ้านสิงห์ชัยไม่ทำเช่นนั้น
เขาจะวิ่งกันแค่วันละ 3 เที่ยวบ้าง 2 เที่ยวบ้าง
เพื่อถนอมม้า สมัยก่อนค่าโดยสารจากแถวสบตุ๋ยมาในตัวเมืองคิด 3 บาท แต่ถ้าผู้โดยสารที่มากับรถไฟมีของมีกระเป๋าเยอะขอคิด 5 บาท และนั่งได้ไม่เกิน 5 คน นอกเหนือจากนั้น หากไปตลาด
เช่น จากตลาดรอบเวียงมาห้าแยกคิด 1.50 บาท แต่จากตลาดไปวัดพระแก้วฯ
จะคิด 5 บาท เพราะต้องขึ้นสะพานรัษฎาฯ
แล้วไปขึ้นตลิ่งวนจักรอีก ด้านวัดพระบาทไป-กลับคิด 10 บาท
เพราะค่อนข้างไกล
เมืองลำปางสมัยก่อนมีรถม้าประมาณ
200
คัน แล้วจะเห็นวิ่งตลอดเวลา ตามหลักรถม้า 1 คันจะมีม้าสับเปลี่ยนกัน
4 ตัว หมายความว่า ออกไปวิ่งตอนตีสี่
รับแม่ค้าไปตลาดจนถึงแปดโมงเช้า หรือเก้าโมงจึงกลับบ้าน คนกินข้าว ปลดม้า
แล้วเอาม้าอีกตัววิ่งจนถึงเที่ยงวัน สองตัวผ่านไปแล้ว
จากนั้นบ่ายโมงจนถึงหกโมงเย็นก็อีกตัว สามตัวแล้ว จากหกโมงเย็นไปถึงเที่ยงคืน
หรือตีหนึ่งก็อีกตัว ทั้งหมด 4 ตัว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1116 วันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2560 )
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น