หลังกระหึ่มแห่งคำถาม
ในรายงานข่าวของ “ลานนาโพสต์” ฉบับที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่องการบริหารจัดการ
กองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า ปรากฏเสียงขานรับอย่างกว้างขวางจากชาวบ้าน
คล้ายปัญหานี้ค้างคาใจพวกเขามาเนิ่นนาน ทั้งที่มีเงินกองทุนมหาศาล
แต่ไม่มีเนื้องานชัดเจน หรือมีผลงานในแบบที่ต้องตั้งคำถามว่า คุ้มค่าหรือไม่
รวมทั้งมีความไม่ชอบมาพากลในการอนุมัติโดยคณะกรรมการซึ่งมีข้อครหา
ว่าเป็นการบริหารอยู่บนพื้นฐานของระบบอุปถัมภ์หรือไม่
โรงไฟฟ้าแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาด 2,400 เมกกะวัตต์
และเป็นกองทุนฯ ที่มีเงินก้อนโตที่สุด โดยเฉลี่ยมีเงินเข้ากองทุนถึงปีละราว 300
ล้านบาท
ปลายปี 2550 มีการตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ
ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยมีคณะกรรมการ 19 คน ตามระเบียบการจัดตั้งกองทุนกำหนดไว้ว่า กรรมการภาคประชาชนต้องมากกว่ากึ่งหนึ่ง
ภาคประชาชนจึงมีกรรมการ 10 คน เป็นของอำเภอแม่เมาะ 7 คน อำเภอแม่ทะ 1 คน อำเภอเมือง 1 คน และที่เหลืออีก 10 อำเภอ คัดสรรกันมาอีก 1
คน
การได้มาของกรรมการภาคประชาชน 7 คนในอำเภอแม่เมาะนั้นได้มาจากการตั้งกรรมการสรรหาของแต่ละตำบล
ซึ่งมีอยู่ 5 ตำบล โดยมีผู้นำชุมชน ท้องถิ่น
กลุ่มองค์กรต่างๆ ในตำบลนั้นๆ เป็นกรรมการสรรหา
ส่วนวิธีการสรรหาก็ค่อนข้างยืดหยุ่นสูง แล้วแต่วิธีการของแต่ละพื้นที่
ส่วนที่เหลืออีก 2 คน คนหนึ่งมาจากกลุ่มมวลชนต่างๆ
ที่อยู่ในอำเภอ เช่น กลุ่ม อสม. กลุ่มอาชีพ ตัวแทนทั้งหมดมาประชุมกันแล้วเลือกตัวแทนกลุ่มมา
1 คน อีกคนหนึ่งจะมาจากชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านของอำเภอ
ขณะที่คณะกรรมการภาครัฐ
มีนายอำเภอ
1 คน ซึ่งได้รับเลือกเป็นเหรัญญิกด้วย ปลัดอำเภอ 1 คน พัฒนาการจังหวัด 1 คน พลังงานจังหวัด 1 คน ซึ่งเป็นเลขานุการด้วย ผู้แทน
กฟผ. 1 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการด้วย
ที่เหลือเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมาจากการสรรหาของคณะกรรมการภาคประชาชน และทั้งหมดนี้คัดสรรประธานกันเองซึ่งก็คือ
ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง
กระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม
ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องนี้มีมาอย่างต่อเนื่อง และยังคงแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า
อ.แม่เมาะ เป็นอำเภอที่รวยที่สุดในประเทศก็ว่าได้
งบประมาณเยอะ แต่ไม่มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจของ
อ.แม่เมาะเลย น่าจะสร้างอะไรที่เป็นจุดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนมาลงทุนและพัฒนา
อ.แม่เมาะให้เป็นอำเภอตัวอย่าง และอยากให้ช่วยกันตรวจสอบ
เพราะเชื่อว่ามีการโกงกินกับงบประมาณในส่วนนี้
ที่สำคัญคือคณะกรรมการกองทุนต้องออกมาชี้แจงและตอบคำถามกับประชาชน
นางมะลิวรรณ
นาควิโรจน์
ประธานเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ
กล่าวถึงกองทุนพัฒนาไฟฟ้าว่า ตนได้ยื่นฟ้องกรรมการกองทุนนี้ไปแล้ว เหตุเพราะมีการอนุมัติงบประมาณและการบริหารจัดการที่ไม่ได้เอื้อต่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ เน้นไปในทางที่กรรมการบริหารเห็นชอบ
แม้ว่าโครงการที่ชาวบ้านนำเสนอจะตรงกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ แต่โครงการที่ได้รับการสนับสนุนดูเหมือนจะเน้นในเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างงานก่อสร้างหรืองานโครงสาร้างพื้นฐานที่มีหน่วยงานหลักดำเนินการอยู่แล้ว ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีความไม่โปร่งใส และเอื้อประโยชน์
ให้ใครจากเม็ดเงินมหาศาลนี้ ปัจจุบันคดียังคงอยู่ในศาลปกครองสูงสุด
วิธีการคือ
การจัดการที่ต้นทางของการอนุมัติงบประมาณให้เป็นไปตามเจตนาการจัดตั้งกองทุน. คือเพื่อการอยู่ร่วมกัน
ลดความขัดแย้งของชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า ที่มาของกรรมการก็ไม่ได้มีธรรมมาภิบาลการมีส่วนร่วม เช่น ตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ตามที่ระเบียบระบุว่าต้องมีตัวแทนภาคส่วนต่างๆ
เช่น
ตัวแทนเยาวชน ตัวแทนศาสนา ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบ เข้ามาร่วมบริหารจัดการ ยังคงมีแต่คนหน้าเก่าสับเปลี่ยนตำแหน่งเก้าอี้
ตั้งแต่มีกองทุนนี้ทำให้ชาวบ้านเองไม่ได้รับความเสมอภาคในการเข้าถึงกองทุน
นางมะลิวรรณ
กล่าวว่า ในช่วงก่อตั้งกองทุน 5 ปีแรก เราถูกดึงโครงการทิ้งหมดโดยกรรมการที่อคติกับเรา
11 โครงการที่เคยเสนอไป โดนตัดทิ้งหมดนั้น และเรื่องยังอยู่ในศาล ซึ่งทางตนเองได้มีการยื่นฟ้องไปก่อนหน้านี้
แต่พอเราออกมาเรียกร้องผ่านสื่อผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน ในช่วงหลังนี้เราได้รับปีละ 2 โครงการเฉลี่ยปีละ
6 แสน บาทจากเงิน 300 กว่าล้านบาท เขาแค่ตัดความรำคาญเราเท่านั้น นางมะลิวรรณ กล่าว
ข้อสังเกตคือ
ชาวบ้านธรรมดาจะเข้าถึงกองทุนนี้ได้อย่างไร จะมีปากเสียงไปเถียงกับพวกเขาได้ที่ไหน
ในเมื่อคนที่เป็นกรรมการไม่มีจิตสาธารนะ กรรมการที่เป็นภาคประชาชน แค่ตัวประกอบ เพราะตัวจริงคือผู้บริหารหน้าเดิมที่ไม่มีวันตายนั่นต่างหาก
ผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากการแต่งตั้ง ก็ล้วนมีความสัมพันธ์กันดี
นายศุกร์
ไทยธนสุกานต์ นายก อบต.บ้านดง กล่าวว่า
งบประมาณในส่วนของโครงการสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงซ่อมแซมที่ไม่ใช่การก่อสร้างใหม่
เป็นถนน แหล่งน้ำ ไม่ว่าตำบลไหนของ อ.แม่เมาะ แต่โครงการโดนบล็อกไว้หมด
แม้กรรมการจะอนุมัติแล้ว เช่น บางโครงการชุมชนไม่มีศักยภาพในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง
จึงส่งให้ อบต.เป็นผู้ดำเนินงานแทน เมื่อ
อบต.รับทำโครงการก็แจ้งกลับไปยังกองทุน
กองทุนได้มีหนังสือกลับมาอีกระบุว่าให้ตรวจสอบพิกัดพื้นที่ ถ้าตรวจสอบก็จะพบว่าส่วนใหญ่
อ.แม่เมาะเป็นพื้นที่ป่าหมด เมื่อทำไม่ได้ก็ดึงงบคืน และมีการโยกงบไปที่อื่น
คือวิธีการของกองทุนนี้
ได้ชวนกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน อ.แม่เมาะ เปิดเวทีคุยกันถึงเรื่องนี้
แต่มีพรรคพวกที่เป็นกรรมการกองทุนอยู่ ขอเวลาและโอกาสที่จะแก้ไขก่อน ตอนนี้อยู่ระหว่างการร่างหนังสือเพื่อขอตรวจสอบการบริหารจัดการกองทุน
ตลอดทั้งการจัดสรรงบ การอนุมัติงบไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ สร้างเงื่อนไขให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ เป็นเหมือนกันทุกตำบล
การส่งเสริมอาชีพของชาวบ้านก็นำโครงการมารวมกัน
เช่นโครงการจัดซื้อสุกร วัว
แต่ละหมู่บ้านได้ตั้งงบประมาณไว้
แต่เมื่อไปถึงคณะกรรมการระดับจังหวัดก็ให้เหมารวมเป็นโครงการเดียว
เป็นอำนาจการจัดซื้อจัดจ้างของกองทุนหมด
โครงการเลี้ยงหมูของ ต.บ้านดง 2
ปีก็ยังไม่สำเร็จจนถึงทุกวันนี้ เรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่งบประมาณลงไม่ถึงชาวบ้าน
และบางโครงการอนุมัติได้แต่ดำเนินการไม่ได้ อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ด้านนายพร้อมพงษ์
วงศ์มณีนิล เลขานุการคณะกรรมการกองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า (คพรฟ.) กล่าวว่า การที่มีแต่ละคนออกมาพูดถึงเรื่องกองทุน
ทั้งในเวที ค.1 หรือไม่ว่าจะเวทีใดก็ตาม ก็น่าจะเป็นความเข้าใจของบุคคลนั้น แต่กองทุนมีกระบวนการใช้จ่ายเงินตามระเบียบกฎหมายค่อนข้างมาก
กองทุนบริหารในรูปคณะกรรมการ เรียกว่าคณะกรรมการกองทุนพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า
มีผู้ว่าฯเป็นประธาน และหลายภาคส่วน ตนเองยินดีที่จะให้ข้อมูล
ซึ่งการให้ข้อมูลต่างๆ จึงต้องนำเรียนให้ท่านผู้ว่าฯทราบด้วย
ในกระบวนการพิจารณาโครงการต่างๆ
ก็จะมีเวทีระดับหมู่บ้าน กรรมการเองไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดโครงการให้ชาวบ้าน ต้องเกิดจากการประชาคมระดับหมู่บ้าน
ตำบลขึ้นมา
เพราะฉะนั้นโครงการต่างๆที่ขออนุมัติเข้ามาก็จะเกิดจากชาวบ้านโดยตรง
จำนวนโครงการแต่ละปีที่เท่าไร มีใครเกี่ยวข้อง สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ทั้งหมด
การที่มีบุคคลบอกว่าไมได้รับการสนับสนุนในส่วนนี้ก็ต้องกลับไปตรวจสอบว่าเขาเคยได้เข้าร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านหรือไม่
เคยได้รับการสนับสนุนไหม เป็นต้น
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1128 วันที่ 5 - 11 พฤษภาคม)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น