วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คุมเข้มสื่อ กรณีศึกษาจากนอกสู่ใน

จำนวนผู้เข้าชม website counter

นขณะที่ข้อถกเถียงเรื่องจริยธรรมสื่อของสังคมไทย แปลกแยกแตกต่างกันไปตามทัศนคติ ความเข้าใจ อารมณ์ความรู้สึกของแต่ละคน ด้านหนึ่งก็มีความพยายามที่จะปฏิรูปสื่ออย่างเป็นทางการของ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) อันเป็นภารกิจต่อเนื่องมาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

น่าสนใจว่า ความหวังที่จะมีการปฏิรูปสื่อภายใต้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน จะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด เพราะกรรมาธิการเกือบทั้งหมดที่ล้วนงอกรากออกมาจากระบบอุปถัมภ์ มีความเข้าใจเรื่องสื่อน้อยจนถึงน้อยที่สุด แม้จะมีกรรมาธิการจำนวนหนึ่งที่เปิดกว้างสำหรับความคิดเห็นที่แตกต่างก็ตาม

เรื่องการปฏิรูปสื่อภายใต้บรรยากาศที่สังคมเรียกหา “ความรับผิดชอบ” สวนทางกับการกระทำผิดซ้ำๆของสื่อ โดยไม่มีคำตอบชัดเจนว่า จะดูแลจัดการกันอย่างไร เป็นที่มาของแนวคิดในการจัดตั้ง “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ” เพื่อให้มีสภาพบังคับ และจัดการใช้กฎเหล็กกับสื่อที่ละเมิด กรณีที่องค์กรวิชาชีพได้สอบสวน วินิจฉัยความผิดจนครบกระบวนความแล้ว ยังไม่เกิดผลใดๆ

มองในเชิงอำนาจ การจัดการให้มี “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ” ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จ และเสียงเรียกร้องให้ดำเนินการปฏิรูปสื่อและจรรยาบรรณของสื่อ

แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือ การยอมรับบทบาทของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่กลายเป็นองค์กรตามกฎหมาย และบทบาทของสภาวิชาชีพที่มีอยู่ที่คล้ายกับจะอยู่ภายใต้การกำกับของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติอีกชั้นหนึ่ง แม้ในการออกแบบกฎหมายจะ “ตัดตอน” สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติออกไปโดยสิ้นเชิง หากการสอบสวน วินิจฉัยของสภาวิชาชีพปัจจุบันสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นผล ภายใต้ข้อบังคับจริยธรรมที่มีอยู่
เนื่องเพราะความเป็นประเทศประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชน ที่ถือว่ากระทำแทนประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมโต้แย้งตลอดเวลาว่า สื่อมวลชนได้ใช้เสรีภาพอย่างเหมาะสม และคำนึงถึงความรับผิดชอบอย่างเพียงพอหรือไม่
ยืนกรานว่า หลักการตรวจสอบลงโทษของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ เราเชื่อในเรื่องมาตรการ Social Sanction ซึ่งหากทำจริงจังโดยไม่เกรงใจมันก็ได้ผล แต่ที่มันไม่เกิดเพราะเรามัวแต่เกรงใจกัน พอมันเกิดความรู้สึกแบบนี้มันก็เลยไม่มี output ออกไป

คนที่อยู่ข้างนอกก็อาจเห็นว่ามันเงียบสนิท แล้วพอเกิดบางกรณีเช่นสื่อบางแห่ง Facebook Live สดคนปีนเสาไฟฟ้าแล้วฆ่าตัวตาย หรือทีวีถ่ายทอดสด อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏยิงตัวตาย ย้อนถามกลับมาว่าทุกครั้งเวลามีเหตุการณ์แบบนี้ องค์กรวิชาชีพสื่อสามารถสร้างความมั่นใจให้สังคม ให้ประชาชนที่ถูกละเมิดได้มากน้อยแค่ไหน ดีที่สุดก็คือออกแถลงการณ์ตักเตือนผู้ประกอบวิชาชีพว่าต้องระมัดระวัง เพราะไปกระทบสิทธิมนุษยชน หรือไปลดทอนศักดิ์ศรี ทำได้เต็มที่แค่นั้น แต่ถามว่าเขาเชื่อไหม บางครั้งแถลงการณ์เขาไม่อ่านด้วยซ้ำไป

และหากเป็นการใช้เสรีภาพโดยปราศจากความรับผิดชอบ คำถามก็จะวนกลับมาที่เก่าว่า แล้วจะดำเนินการอย่างไร สภาวิชาชีพที่มีอยู่ในปัจจุบันมีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ ในบริบทของสังคมที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าองค์กรสื่อคิดถึงธุรกิจและความอยู่รอดมากกว่าความสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน ในฐานะกลุ่มคนที่ทำอาชีพอยู่บนพื้นที่สาธารณะ

ความเชื่อว่าสักวันหนึ่ง สังคมจะ “ตื่นรู้” และปฏิเสธสื่อที่ขาดความรับผิดชอบ อันเป็นที่สุดของมาตรการการกำกับ ดูแลกันเอง ห่างไกลออกไปทุกที แม้จะมีองค์กรสื่อที่ยังยึดมั่นในแนวทาง และกล้าพอที่จะปฏิเสธการเสนอข่าวและภาพข่าวที่อาจเพิ่มเรทติ้ง แต่ลดความเชื่อถือและความรับผิดชอบ แต่ก็น้อยอย่างยิ่ง

ภายใต้สำนักงานบริหารวิทยุ ภาพยนตร์ และโทรทัศน์แห่งชาติจีน สมาคมนักข่าวแห่งประเทศจีน การเสนอภาพศพเป็นเรื่องต้องห้าม การละเมิดหลักจริยธรรม ที่มีการกำกับ ควบคุมชนิดเข้มข้น โดยคณะกรรมการจริยธรรมกลาง และกรรมการจริยธรรมของสมาคมนักข่าวในแต่ละมณฑล จะนำไปสู่การลงโทษที่เด็ดขาด ชัดเจน ตั้งแต่การตักเตือน ไปจนถึงการเพิกถอนความเป็นสื่อมวลชน

สื่อในสังคมเสรีประชาธิปไตยแบบไทยๆ คงไม่ปรารถนาให้มีองค์กรใดมากำกับ ควบคุมเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นนี้ โดยเฉพาะหากเป็นการกำกับ โดยองค์กรที่เหนือกว่า ดังนั้น การเซ็นเซอร์ตัวเอง ความรับผิดชอบในเบื้องต้นจึงเป็นเกราะป้องกันการแทรกแซง และการใช้อำนาจภายนอกอย่างดีที่สุด

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1129 วันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2560)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์