จำนวนผู้เข้าชม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร. เพ็ญสุภา สุขคตะ
ได้โพสต์ตั้งคำถามไว้ในเฟสบุกถึงผู้รู้ทั้งหลายว่า ทำไมวัดพระธาตุลำปางหลวง
อำเภอเกาะคาของเรา จึงนำป้าย “วิหารลายคำ” มาติดที่วิหารพระพุทธ ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรมา
ผู้คนทั่วไปต่างก็เรียกวิหารแห่งนี้ว่าวิหารพระพุทธมาโดยตลอด อีกประการหนึ่งคือ ป้ายคำบรรยายว่า
เชิญนมัสการ “พระแก้วมรกต” ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อมูล ควรเรียกว่า
“พระแก้วดอนเต้า” จึงจะถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์
เพราะพระแก้วดอนเต้าที่ประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุลำปางหลวงนั้น
ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพระแก้วมรกตที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ป้ายวิหารลายคำปัจจุบันได้ถูกปลดออกแล้ว
คงเหลือเพียงป้ายที่เรียกพระแก้วดอนเต้าว่า พระแก้วมรกต ที่ยังรอการคลี่คลาย
ระหว่างนี้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล
ดำริห์กุล นักวิชาการจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับชาวลำปางเกี่ยวกับพระแก้วดอนเต้าไว้ในเฟสบุกว่า
พระแก้วดอนเต้าไม่ได้ทำจากมรกต (Emerald) แต่สร้างจากหินมีค่าสีเขียวประเภทหยกอ่อน
(Nephrite) เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดเล็กกว่าพระแก้วมรกต
ศิลปะล้านนา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย
เรื่องราวในตำนานพระแก้วดอนเต้าที่เกี่ยวกับนางสุชาดาไม่ระบุช่วงเวลาแน่ชัด
แต่จากการวิเคราะห์เนื้อความในตำนาน อาจารย์สุรพลพบเนื้อความที่สะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชนลุ่มน้ำกกในจังหวัดเชียงราย
ซึ่งก็คือชาวเชียงแสนที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง บริเวณวัดพระแก้วชมภูและใกล้เคียงในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่
24
ดังนั้น ตำนานพระแก้วดอนเต้าจึงเป็นตำนานที่เขียนขึ้นใหม่ในยุคหลัง
โดยมีความสัมพันธ์กับชาวเมืองเชียงแสนที่อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้
ซึ่งคงบูรณะวัดพระแก้วชมภู และประดิษฐานพระแก้วดอนเต้าที่นำมาจากเชียงแสนด้วย
จนเกิดเป็นตำนานพระแก้วดอนเต้า และต่อมาวัดพระแก้วชมภูก็เปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระแก้วดอนเต้า
อาจารย์สุรพลกล่าวว่า
ได้เคยมีข้อเสนอทางวิชาการว่า พระแก้วดอนเต้าองค์นี้ ควรจะเป็นพระแก้ว
พระพุทธรูปสำคัญของเมืองเชียงแสนในอดีต
ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 ระบุว่า
ในปี พ.ศ. 1929 พระเถระชื่อศิริวังโสได้นำพระพุทธรูป คือ
พระแก้วและพระคำ พร้อมด้วยพระบรมธาตุ ไปประดิษฐาน ณ วัดเกาะดอนแท่น เมืองเชียงแสน ต่อมาเมื่อกองทัพของพระยากาวิละแห่งนครลำปางและเจ้าฟ้าเมืองน่านไปตีเมืองเชียงแสนแตกในปี
พ.ศ. 2346 ก็ไม่ปรากฏเรื่องราวของพระแก้ววัดเกาะดอนแท่นอีกเลย
อาจารย์สุรพลเชื่อว่า พระแก้ววัดเกาะดอนแท่น
เมืองเชียงแสน คงถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่เมืองลำปางในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 24 พร้อมชาวเมืองเชียงแสนที่ถูกกวาดต้อนมา อีกทั้งเมื่อมีการตรวจสอบเอกสารช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่
24 ก่อนที่ชาวเชียงแสนจะอพยพมา ก็ไม่เคยปรากฏหลักฐานใด ๆ
เกี่ยวกับพระแก้วดอนเต้าเลย แสดงให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้พระแก้วดอนเต้ายังไม่อยู่ที่เมืองลำปาง
และที่กล่าวกันว่า
พระแก้วดอนเต้าเป็นพระแก้วมรกตจำลองแทนพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรนั้น อาจารย์สุรพลมีข้อโต้แย้งตามหลักฐานและเหตุผลทางวิชาการ
คือ
ประการแรก พระแก้วดอนเต้ามีคติความเชื่อเกี่ยวกับการประดิษฐานต่างจากพระแก้วมรกต
โดยจะต้องมีพระพุทธรูปตั้งคู่อยู่เสมอ เรียกว่า พระพี่เลี้ยง
อีกทั้งพุทธศิลป์ก็แตกต่างกัน จึงไม่ใช่พระพุทธรูปจำลองของพระแก้วมรกต
ประการที่สอง
วัดพระธาตุลำปางหลวงถือเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองลำปาง แต่ไม่เคยปรากฏหลักฐานและเรื่องราวใด
ๆ เกี่ยวกับพระแก้วดอนเต้า เมื่อศึกษาหอพระแก้ว
ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วดอนเต้ามาแต่โบราณ ก็พบว่าสร้างขึ้นสมัยต้นรัตนโกสินทร์
อาจารย์สุรพลจึงมั่นใจว่า พระแก้วดอนเต้าถูกนำมาที่วัดพระธาตุลำปางหลวงราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่
25
(ปี พ.ศ. 2400-2450)
พร้อมกับการสร้างหอพระแก้วให้เป็นที่ประดิษฐาน
จากหลักฐานต่าง ๆ อาจารย์สุรพลได้ข้อสรุปว่า
พระแก้วดอนเต้านั้น เพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองลำปางช่วงครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 24 (ปี พ.ศ. 2350-2400 ) และมีความน่าเชื่อถือว่า
ควรจะเป็นพระแก้ววัดเกาะดอนแท่น เมืองเชียงแสน
ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายมาพร้อมกับชาวเชียงแสนอพยพ
ระยะแรกคงประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้า
โดยมีการสร้างตำนานพระแก้วดอนเต้าขึ้นใหม่ในระยะนี้ด้วย
ต่อมาได้ถูกเคลื่อนย้ายมายังวัดพระธาตุลำปางหลวงอย่างเงียบ ๆ ในปลายพุทธศตวรรษที่ 24
ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ทั้งนี้ อาจารย์สุรพลคาดว่า
คงเกี่ยวข้องกับเหตุที่ในช่วงเวลานั้น เจ้านายฝ่ายกรุงเทพฯ พยายามรวบรวมพระพุทธรูปสำคัญ
ๆ ของเมืองต่าง ๆ ไปไว้ที่กรุงเทพฯ
จนเกิดกระแสให้ชาวบ้านชาวเมืองต้องปกป้องพระพุทธรูปสำคัญ ๆ ของตนไว้ด้วยการนำไปซุกซ่อน
ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ทั้งสองท่าน
ที่ได้จุดประกายและคลี่คลายความเข้าใจอันคลาดเคลื่อน ไม่เฉพาะกับคนทั่วไป สำคัญที่คนลำปางเอง
ควรได้รับรู้ข้อมูลจริงของบ้านเมืองเรามากที่สุด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น