จากกรณีเมื่อวันที่
27 ก.ค. 60 ที่ผ่านมา
นายสมยศ ยะม่อนแก้ว รอง ผอ.โรงเรียนอนุบาลลำปาง(เขลางค์รัตน์อนุสรณ์)
รักษาราชการแทน ผอ. เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองลำปาง กล่าวหานางสุรณี กัลยารัตนกุล
หรือครูต้อย ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ ปฏิบัติงานหัวหน้าสำนักงานผู้อำนวยการโรงเรียน
และทำหน้าที่เป็นเลขานุการของนายประยูร เรียนปิงวัง ผู้อำนวยการโรงเรียน ฐานยักยอกทรัพย์ เนื่องจากครูต้อยเป็นผู้ถือเงินทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว โดยยอดรายรับในปี 2557-2560
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22,303,755 บาท
ไม่เคยนำฝากเข้าระบบการเงินของโรงเรียนแม้แต่บาทเดียว
กระทั่ง
นางสุรณี หรือครูต้อย ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ตนเกษียณอายุราชการ ปี 2555 นายสมยศ
ยะม่อนแก้ว ก็เข้ามานั่งตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานผู้อำนวยการ
ก่อนที่ตนเองจะได้รับการทาบทามให้เข้ามาช่วยงานหลังเกษียณราชการแล้ว
ซึ่งมีหนังสือแต่งตั้งระบุไว้ชัดเจน การที่นายสมยศ
ออกมาพูดต่อสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา
ตนได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรึกษาทนายความ เพื่อจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ นางสุรณี ในข้อหายักยอกทรัพย์เพียงคนเดียว แต่ไม่แจ้งความต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามเอกสารแจ้งความที่ระบุว่า ในสำนักงาน ผอ.มีผู้ที่ทำหน้าที่ด้วยกัน 4 คน ขณะที่ นางสุรณี ไม่มีชื่อปรากฏในคำสั่งแต่งตั้งใดๆ ในสำนักงาน ผอ. นอกจากเป็นเลขาส่วนตัวของ นายประยูร เรียนปิงวัง ผอ.รร.เท่านั้น
ด้านนายสมยศ
ยะม่อนแก้ว รองผู้อำนวยการโรงเรียน
กล่าวถึงกรณีที่เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสำนักงานผู้อำนวยการว่า ตนเองได้รับการแต่งตั้งจริง เมื่อปี 2555
ขณะนั้นเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลลำปาง
แต่เข้ามาทำหน้าที่ได้ 2 เดือน ก็ได้ลาออกมา จากนั้นครูต้อยก็เข้ามาดูแลในส่วนนี้แทน
ซึ่งตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก กระทั่งปี 58
มีคำสั่งย้ายไปปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการที่โรงเรียนอนุบาลแม่เมาะ รวมทั้งได้เข้าไปช่วยงาน สพป.เขต 1 และย้ายกลับมาเป็นรองผู้อำนวยการที่โรงเรียนอนุบาลลำปาง เมื่อเดือน ม.ค.60 ที่ผ่านมา
รอง
ผอ. ยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ช่วงปี 55-57 ไม่ได้มีการร้องเรียนหรือทราบเรื่องการใช้จ่ายเงินของโรงเรียนแต่อย่างใด
เพราะเป็นอำนาจของ ผอ.ให้การบริหารจัดการ ทางกลุ่มครูไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
จึงไม่ทราบว่ามีการนำเงินไปใช้จ่ายอย่างไรบ้าง กระทั่งต้นปี 60 ตนได้กลับเข้ามาทำหน้าที่ รอง ผอ. จากนั้นก็ได้มีเรื่องร้องเรียนเกิดขึ้น ซึ่งทาง
ผอ.ได้ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว
ส่วนครูต้อยพ้นจากการเป็นข้าราชการ เนื่องจากได้เกษียณอายุไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถสอบสวนทางวินัยได้
จึงแจ้งความดำเนินคดีเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนดังกล่าว ส่วนกระแสข่าวที่ว่าครูต้อยจะฟ้องกลับตนเองนั้นก็ไม่เป็นไร
ต่างคนต่างใช้สิทธิ์ของตัวเองได้
ในส่วนความคืบหน้าเรื่องคดีนั้น
ทางพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี กล่าวว่า
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตั้งคณะกรรมการในรูปแบบของกรรมการสอบสวน
โดยได้มีการสอบปากคำพยานไปแล้ว 15 ปาก
ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องหาข้อมูลและหลักฐานต่างๆมาประกอบกัน
หาพยานหลักฐานที่มาของเงิน 22 ล้านบาท
เพราะมีเพียงการกล่าวอ้างมาเท่านั้น
เงินรายได้ที่มาจากการฝากลูกไว้กับครูก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นรายได้ของโรงเรียน
หรือ รายได้ส่วนตัว
จะต้องนำเข้าโรงเรียนหรือไม่
ส่วนกรณีการออกใบเสร็จรับเงิน
ซึ่งทางกลุ่มครูและเจ้าหน้าที่การเงินของโรงเรียน ยืนยันว่าไม่ได้ออกใบเสร็จ
ก็ต้องสืบสวนหาที่มาให้ได้ เพราะเอกสารที่ได้มายังไม่ครบถ้วน ซึ่งได้ทำเรื่องขอเอกสารหลักฐานไปยัง
สพป.เขต 1 และ
ป.ป.ช.เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบกัน
ขณะนี้ยังไม่ได้มีการออกหมายเรียกครูต้อยแต่อย่างใด
เนื่องจากต้องสืบสวนสอบสวนหาที่มาของเส้นทางการเงินให้ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับครูต้อยหรือไม่
หากพบว่าผู้ใดเกี่ยวข้องจึงจะเรียกมาทำการสอบสวน
และเมื่อพบการกระทำผิดก็จะส่งเรื่องให้ทาง ป.ป.ช. ซึ่งข้อมูลทุกอย่างจะเชื่อมโยงไปกับหลายหน่วยงานทั้ง
ป.ป.ช.และ สตง.ด้วย
ส่วนกรณีกระแสข่าวที่ว่ามีการเรียกคณะครูที่เดินขบวนไปแจ้งความที่
สภ.เมืองลำปาง กว่า 50 คน ไปทำการสอบสวนที่ สพป.เขต 1 นั้น นายสมเกียรติ
ปงจันตา รอง ผอ.สพป.เขต 1
ยืนยันว่าไม่มีการเรียกตัวกลุ่มครูไปสอบสวน แต่อย่างใด ซึ่งในเรื่องนี้เป็นอำนาจของโรงเรียนที่จะดำเนินการเอง
ขณะที่ฝ่ายนางสุรณี
กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย ยังคงเก็บตัวเงียบไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด
ซึ่งทราบว่าได้พักอาศัยอยู่บ้านญาติเป็นการชั่วคราว
และอยู่ระหว่างปรึกษาทนายความว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่กล่าวหาทำให้ตนเองเสียหายหรือไม่
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1140 วันที่ 4 - 10 สิงหาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น