บนถนนทิพย์วรรณ
กลางเมืองลำปาง
ไม่เพียงตึกแถวคูหานั้นจะหอมละมุนไปด้วยกลิ่นนมเนยตามแบบฉบับร้านเบเกอรีทั่วไปแต่ยังอบอวลด้วยกลิ่นอายบางอย่าง คลับคล้ายว่าจะเป็นความหวานแห่งวันวานที่มาพร้อมรสชาติ
ซึ่งเราแสนคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก
ภายในร้าน เหล่าขนมถูกจัดวางในตู้ไม้กรุกระจกอย่างเป็นระเบียบ
โดยมีขนมโตเกียวและเอแคลร์วางซ้อนกันอยู่ด้านบนสุดเพื่อให้หยิบง่าย
บ่งบอกอยู่ในทีว่า นี่ล่ะ ขนมที่ขายดีของร้าน ส่วนขนมปังนมสดและขนมปังไส้ไก่นั้นก็ยังคงวางขายเหมือนเมื่อ
50 กว่าปีก่อน สมัยที่สองสามีภรรยา วนิดาและศักดา มารุจิวัฒน์ตัดสินใจเปิดร้านเบเกอรีเล็กๆร่วมยุคกับร้านเบเกอรีเจ้าแรกๆ
อีกสองร้าน
วนิดา
ซึ่งขณะนั้นอายุราว 25
ปี เรียนรู้การทำขนมจากวิทยาลัยสารพัดช่าง ขนมโบราณอย่างปั้นสิบ
กะหรี่พัฟ กังหันแยม เธอปรับสูตรจนลงตัวจึงเริ่มทำขาย แรก ๆ ก็ส่งร้านค้า
บางครั้งหาบไปขายที่ตลาด กระทั่งเริ่มมีลูกค้ามากขึ้น จึงได้มีโอกาสเปิดร้าน
โดยใช้ชื่อว่า “ร้านแววเบเกอรี”ตามชื่อเล่นของเธอเอง
“ตั้งแต่จำความได้
ผมก็เห็นแม่ทำขนมแล้วล่ะครับ” ถนอม มารุจิวัฒน์ วัย 49 ปี
เจ้าของร้านรุ่นที่2 พูดพลางยิ้ม “ตอนนั้นหน้าร้านมีแค่ตู้ 1 ใบ กับขวดโหลใส่พวกขนมแห้งๆ เป็นภาพที่ผมจำได้ดีเลยทีเดียว” ถนอมว่า
“แม่ทำขนม
ส่วนพ่อจะขี่รถเวสปาเอาไปส่งตามร้านค้า พอเริ่มขายดีขึ้น จึงหันมาขายหน้าร้านอย่างเดียวจากขนมแห้งๆ
พ่อกับแม่ก็เริ่มหันมาทำขนมปัง ขนมปังนมสดกับขนมปังไส้ไก่นี่ เป็นขนมปังชนิดแรกๆ
ที่แม่ทำเลยครับ ขายตั้งแต่ถุงละบาทห้าสิบ รวมทั้งแยมโรลฝีมือพ่อ
ซึ่งต่อมากลายเป็นซิกเนเจอร์ของร้านแววเบเกอรีจวบจนทุกวันนี้” ถนอมเล่าอย่างภูมิใจ
ส่วนเรานึกไม่ออกเลยว่า สมัยก่อนตอนที่ป้าแววใช้เตาอบถ่านอบขนมปังนั้น
จะต้องใช้ความชำนิชำนาญและความอุตสาหะมากแค่ไหน
หลังจากทำขนมปังและแยมโรลจนลูกค้าติดใจ
ก็ถึงเวลาของขนมโตเกียว ถนอมเล่าว่า ขนมโตเกียว ซึ่งครองใจลูกค้ามายาวนานนี้
มีจุดเริ่มต้นจากการที่ตนเองและพี่น้องชอบวิ่งไปซื้อขนมโตเกียวจากร้านค้าใกล้บ้านมากินเสมอ
ครั้นแม่ขอลองชิมบ้าง ก็บอกกับลูกๆว่า แม่น่าจะทำได้ แล้วแม่ก็ทำจริงๆ
แถมยังอร่อยเสียด้วย และนั่นคือที่มาของขนมโตเกียว
หลังจากนั้นการทำเอแคลร์ควบคู่ไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะไส้คล้ายๆ กัน
ทุกวันนี้ วนิดา
หรือป้าแววในวัย 76
ปีวางมือจากการทำขนมแล้ว เช่นเดียวกับลุงศักดา ผู้เป็นพ่อในวัย 80
ปี และได้ส่งต่อร้านแววเบเกอรีให้ลูกชาย คือ ถนอม ตั้งแต่เขาอายุ25ปี เท่ากับวัยของป้าแววสมัยที่เปิดร้านใหม่ๆ โดยมีน้องสาวของถนอม-ธัญลักษณ์
มารุจิวัฒน์ รวมทั้งหลานชาย-แทน มารุจิวัฒน์ช่วยกันทำขนมอีกสองแรง
ร้านแววเบเกอรีจึงเป็นธุรกิจในครอบครัวขนาดเล็ก ที่มีข้อดีคือยังคงรักษารสชาติเดิมๆ
ของขนมไว้ได้อย่างไม่ตกหล่น ทว่าข้อเสียก็คือไม่สามารถผลิตขนมได้มากเท่าร้านใหญ่ๆความหลากหลายของชนิดขนมก็น้อย
“ด้วยความที่ทำขนมกันแค่
3-4
คน นี่คือข้อจำกัดเรื่องแรงงานของเราครับ
แต่มันก็ดีตรงที่ไม่ต้องมาปวดหัวกับคนอื่น” ถนอมพูดพลางหัวเราะ “ส่วนขนมที่วางขายอยู่นี้
เราประเมินแล้วว่า ขายหมดแน่นอน และเป็นขนมที่ลูกค้าติดแล้ว ผมเคยลองทำขนมใหม่ๆ
อยู่พักหนึ่งก็ต้องเลิกไป เพราะลูกค้าไม่ชอบ เขายังคงผูกพันกับขนมหน้าตาเดิมๆ
มากกว่า”
ถนอมพูดอย่างน่าฟังว่า
ทุกคนในครอบครัวไม่ได้กักขังตัวเองไว้กับการทำขนม พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมุ่งผลิตขนมให้ได้มากๆ
จนทุกคนเหนื่อยล้าและสูญเสียอิสระในการใช้ชีวิต ทุกวันนี้ร้านแววเบเกอรีจึงไม่ได้เน้นความหลากหลายของขนม
ลูกค้าจะรู้ว่าร้านนี้ขายขนมเพียงไม่กี่อย่าง แยมโรล โตเกียว เอแคลร์ เดลี ขนมปัง
บัตเตอร์เค้ก ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังคือรสชาติเดิมเหมือนที่กินมาตั้งแต่เด็ก แม้กระทั่งแพ็กเกจก็ไม่ต้องทันสมัย
ยังคงเรียบง่ายเหมือนสมัยป้าแววไม่มีผิด
“เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเรา
คือการใช้ทั้งเครื่องจักรและมือค่ะ” ธัญลักษณ์กล่าวเสริมพี่ชาย “เรามีเทคนิคในการตีแป้งด้วยมือ
กับเคล็ดลับของส่วนผสมที่สืบทอดมาจากแม่ ตรงนี้ทำให้เนื้อขนมนุ่ม ลูกค้าประจำจะรู้ว่าขนมของเราไม่เหมือนที่อื่น”
เธอยิ้มกว้าง
นอกจากรสชาติที่ต้องรักษาไว้
ความสดใหม่ก็สำคัญ ถนอมบอกว่า หัวใจของการทำเบเกอรี คือ ความสด ความสะอาด
ขณะเดียวกันขนมที่ร้านก็ไม่ใช้สารกันบูดกันรา เพราะแม่บอกกับเขาว่าให้ทำขนมเหมือนกับว่าคนในครอบครัวกินเอง
เช่นนี้ขนมส่วนใหญ่ในร้านจึงเน้นทำวันต่อวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมโตเกียวและเอแคลร์ ที่จำกัดจำนวนในการทำ เพื่อให้ขายหมดภายในวันเดียว
ส่วนแยมโรลกับขนมปังต่างๆ สามารถเก็บนอกตู้เย็นได้เต็มที่3 วัน
ร้านแววเบเกอรีเปิดเวลา09.00-21.00 นาฬิกา กิจวัตรประจำวันของทุกคนที่นี่ เริ่มตั้งแต่เวลา06.00 นาฬิกา ด้วยการกวนไส้ขนมโตเกียว วุ่นวายกับขนมโตเกียวจนถึงเวลา08.00
นาฬิกากว่าจะเสร็จ ถึงตอนนี้ถนอมจะไปส่งขนมโตเกียวที่ร้านสหกรณ์ของโรงพยาบาลศูนย์ลำปาง
หลังจากนั้นจึงกลับมาทำแยมโรล
เที่ยงตรงเป็นเวลาที่ขนมบางส่วนจะเริ่มทยอยออกมาเฉิดฉายในตู้
แต่หากอยากกินขนมปังร้อนๆ แล้วล่ะก็ ต้องมาช่วงเวลา17.00-18.00 นาฬิกา
ซึ่งเป็นช่วงที่ขนมปังสดใหม่จะอ้อยอิ่งออกจากเตามาส่งกลิ่นหอมเย้ายวน
“ผมสังเกตว่า
ร้านเราจะขายดีช่วงเทศกาลวันหยุดยาวๆครับ ผมจะเจอลูกค้าเก่า กลับมาซื้อช่วงนั้น
บางคนบอกว่าตอนเด็กๆพ่อแม่เคยพามาซื้อ โตขึ้นไปทำงานต่างถิ่น กลับมาบ้านแต่ละครั้งจึงมาตามหาขนมที่เคยกินน่ะครับ” ถนอมว่า
อาจบางทีเราไม่เพียงมาตามหารสชาติที่คุ้นเคย
มากกว่านั้นคือวันวัยในอดีต ซึ่งสามารถย้อนคืนได้อย่างไม่น่าเชื่อจากขนมชิ้นเล็กๆ
ในมือ ขนมที่ไม่เพียงหอมหวานจากคุณภาพของวัตถุดิบ
แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวยาวนานในทุกคำเคี้ยว
เรื่อง/ภาพ
: กุลธิดา สืบหล้า
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น