
ประธานกองทุนหมู่บ้านศาลาดอนยันไม่เคยพกปืนข่มขู่ทะเลาะวิวาท
งงประธานชุมชนชี้แจงว่าเคลียร์เรื่องเงินที่ถูกร้องเรียนแล้ว
แต่เทศบาลเมืองเขลางค์ฯ ยังไม่สรุปและยังไม่มีการประชุมให้ชาวบ้านทราบ
ด้านประธานชุมชนศาลาดอน เผยกรณีเอาผิดลูกเขยอดีตประธานชุมชนฯข่มขู่ลูกบ้านอยู่ระหว่างดำเนินคดี
ลั่นไม่ได้พูดเรื่องปืนจ่อหัว เป็นความเข้าใจผิด
จากกรณีเมื่อวันที่
22 ส.ค.60 ที่ผ่านมา จ.ส.อ.สง่า พุทธิมาเล
ประธานชุมชนศาลาดอน หมู่ 3 ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง
ได้นำหลักฐานเป็นเอกสารปึกใหญ่มาชี้แจงต่อผู้สื่อข่าว ถึงที่มาที่ไปของเงินกองกลางของวัดและเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ของหมู่บ้าน
หลังจากถูกชาวบ้านรวมตัวกันร้องเรียนว่า
นำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจนเงินหายไปถึง 8 แสนบาท พร้อมยืนยันว่า เงินกลองกลาง
และเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ของหมู่บ้านทุกบาทยังอยู่ครบถ้วน
ไม่ได้หายไปแม้แต่บาทเดียว โดยส่วนใหญ่จะมีการเบิกจ่ายออกไปเพื่อสร้างซุ้มประตูทางเข้าวัด
เทปูนปรับสนามลานหน้าวัด ปรับปรุงสนามกีฬาชุมชน ซื้อถ้วยชามเพิ่มเติมเข้าวัด
เพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ ซื้อเครื่องเสียงแทนชุดเดิมที่ชำรุดเสียหาย
และนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ให้กับวัด
ซึ่งเรื่องดังกล่าว ทำให้ตนเองและคณะกรรมการเสื่อมเสียชื่อเสียง
จึงได้ไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับอดีตประธานชุมชนและคณะกรรมการก่อนหน้านี้แล้ว
ต่อมานายสถิต
ขจรไชยเดช อดีตประธานชุมชนศาลาดอน พร้อมด้วย ร.ต.ท.ธาดา สุระสะ ประธานกองทุนหมู่บ้านศาลาดอน นายประกอบ ผันผาย ผู้ตรวจสอบงบการเงินเครือข่าย
อ.เมือง นายองอาจ เมฆสกุล
ประธานร้านค้าการเกษตรกร ต.ชมพู ได้ร่วมกันเปิดเผยกับลานนาโพสต์ว่า
เรื่องที่ชาวบ้านร้องเรียนประธานชุมชนศาลาดอนนั้น ยังไม่มีข้อสรุป
โดยเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศูนย์ดำรงธรรมได้ส่งหนังสือมายังนายสถิตย์
ขจรไชยเดช แจ้งว่าจังหวัดได้ส่งเรื่องให้เทศบาลเมืองเขลางค์นคร
ตรวจสอบข้อเท็จจริง และแจ้งผลการตรวจสอบให้กับชาวบ้านศาลาดอนทราบ
ซึ่งได้สอบถามไปทางเทศบาลแล้ว ขณะนี้ทางเทศบาลยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีการนัดประชุมชาวบ้าน พวกตนยังข้องใจและไม่ทราบว่าประธานชุมชนนำหลักฐานอะไรมาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู
บอกว่าเคลียร์เรื่องทั้งหมดแล้ว ซึ่งทางชาวบ้านก็มีหลักฐานบัญชีรายจ่ายทั้งหมด
เป็นเอกสารบัญชีรายจ่ายที่ออกมาจากประธานชุมชนเอง ได้นำมาปิดประกาศไว้
แต่ปิดได้เพียง 1 ชั่วโมงก็ปลดออก แต่ก็มีชาวบ้านนำไปถ่ายเอกสารเก็บไว้นำมาตรวจสอบ พบว่าหลายรายการไม่ถูกต้องจึงทำให้ทราบว่าเงินหายไป
8 แสนบาท เมื่อสอบถามทางประธานชุมชนไปก็ไม่ได้รับคำตอบ และยังท้าบอกว่าให้ไปร้องเรียนเอาเอง จึงได้รวบรวมหลักฐานไปยื่นร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมเมื่อวันที่
19 ก.พ.60 ดังกล่าว
นอกจากนั้นชาวบ้านศาลาดอน
เคยร้องเรียนไปยังเทศบาล ให้มีการประชุมถอดถอนประธานชุมชน
ในครั้งนั้นเทศบาลก็มาประชาคม โดยชาวบ้านมีมติถอดถอน 377 คน
ไม่ถอดถอนแค่ 78 คน
แต่ไม่สามารถถอดถอนได้ เนื่องจากตามระเบียบเทศบาลแจ้งว่าต้องประมาณ 500
คน หรือ 1 ใน 3
ของชาวบ้านทั้งหมด
แต่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าคน 300 กว่าคนไม่อยากได้ประธานชุมชน
ส่วนกรณีที่ประธานชุมชนได้มีการแจ้งความพวกตนเกี่ยวกับ
การนำเอาขอความอันเป็นเท็จไปลงโฆษณาในคอมพิวเตอร์นั้น เป็นภาพวีดีโอที่ทางเทศบาลลงเผยแพร่ข่าวสารทางเว็บไซด์ยูทูป
กรณีที่มีชาวบ้านไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม พวกตนไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่วีดีโอดังกล่าว
และในวันนั้น ร.ต.ท.ธาดา ก็ไม่ได้ไปที่ศาลากลางด้วย แต่กลับถูกแจ้งความเป็น 1 ใน 7 ขณะนี้ก็รอผลทางคดีอยู่ว่าจะออกมาอย่างไร
ด้านนายประกอบ
ผันผาย ผู้ตรวจสอบงบการเงินเครือข่าย อ.เมือง
กล่าวเสริมว่า
เรื่องที่ประธานชุมชนชี้แจงว่าเงินจำนวน 8 แสนบาท
นำไปสร้างซุ้มประตูวัดนั้น ไม่เป็นความจริง
เพราะเงินสร้างซุ้มประตูเป็นเงินที่ได้มาจากการจัดกฐิน ซึ่งทางวัดได้เปิดบัญชีไว้ต่างหากและคณะกรรมการวัดเป็นผู้ถือสมุดบัญชีเล่มนี้ไว้ ยอดเงินที่หายไป 8
แสนบาท จะมียอดกฐินของปี 58 รวมอยู่ด้วยประมาณ 1 แสนบาทเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับยอดกฐินของปี 59 ที่นำมาสร้างซุ้มประตูวัดอย่างแน่นอน
ที่ผ่านมาประธานชุมชนไม่เคยชี้แจงเรื่องการใช้เงินเลย
ชาวบ้านไม่เคยเห็นสมุดบัญชีธนาคาร หรือยอดเงินคงเหลือ ซึ่งยอดเงิน 8
แสนบาทที่หายไป เป็นยอดเงินก่อนที่จะมีกฐินของปี 59 จะเข้ามาด้วยซ้ำ
ส่วนกรณีพิพาทระหว่าง
ร.ต.ท.ธาดา สุระสะ ประธานกองทุนหมู่บ้านศาลาดอน และ จ.ส.อ.สง่า พุทธิมาเล ประธานชุมชนศาลาดอนนั้น
ในเรื่องนี้ ร.ต.ท.ธาดา กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 59 ที่ผ่านมาทางประธานชุมชนได้กล่าวหาหมิ่นประมาทตนว่ายักยอกเงินกองทุนหมู่บ้าน
ทำงานไม่โปร่งใส โดยประกาศผ่านเสียงตามสายในหมู่บ้านให้ชาวบ้านได้ยินไปทั่ว ตนจึงได้ดำเนินคดีและศาลตัดสินให้ตนชนะคดี ประธานชุมชนต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับตน 30,000 บาท พร้อมประกาศขอโทษลงหนังสือพิมพ์ 7 วันติดต่อกัน
และประกาศเสียงตามสายขอโทษในหมู่บ้านอีก 8 ครั้ง
พร้อมกับทำเอกสารข้อตกลงว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกัน แต่ปรากฏว่าประธานชุมชนก็ไม่ได้ตามข้อตกลงสักอย่าง
ประธานกองทุนหมู่บ้านศาลาดอน
กล่าวอีกว่า
เรื่องใช้อาวุธปืนจ่อหัวชาวบ้าน ขอยืนยันเลยว่าตนเองไม่เคยทำในเรื่องดังกล่าว
ถึงแม้ว่าจะเป็นตำรวจแต่ไม่เคยพกอาวุธในที่สาธารณะไปเรื่อย
และที่ผ่านมาก็ไม่เคยทะเลาะวิวาทกับใครในที่ประชุมหมู่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว ในการประชุมคัดเลือกกรรมการหมู่บ้าน
ประธานชุมชนก็ได้มีการเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมาควบคุมดูแลที่ประชุม
ชาวบ้านทุกคนเป็นพยานได้ว่าไม่มีกรณีการใช้ปืนข่มขู่หรือใช้ปืนจ่อหัวใครอย่างแน่นอน
ทั้งนี้
กรณีการกล่าวถึงเรื่องการใช้อาวุธปืนข่มขู่และจ่อหัวชาวบ้าน ทางด้าน จ.ส.อ.สง่า
พุทธิมาเล ประธานชุมชนศาลาดอน กล่าวว่า ในวันดังกล่าว
ตนเองเป็นผู้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเพียงคนเดียว และยืนยันว่าตนไม่ได้พูดถึงเรื่องปืนจ่อหัว
อาจเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างที่ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว ซึ่งความจริงคือ
ตนได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านรายหนึ่งว่าถูกข่มขู่ จากลูกเขยของอดีตประธานชุมชน
โดยมีการใช้อาวุธปืนข่มขู่ชาวบ้าน จึงมาแจ้งให้ตนเองทราบ สุดท้ายทางผู้เสียหายก็ไม่เอาเรื่อง
แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นประธานชุมชนจึงแจ้งความและให้มากล่าวขอโทษตนเองภายใน 3 วัน
แต่อีกฝ่ายก็ไม่มา จึงได้แจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เกิดเมื่อปี 59
แล้ว ส่วนกรณีการจ่ายค่าไฟฟ้าให้วัดนั้น
มีการจ่ายยอดค้างจริงเป็นเงิน 4.5 หมื่นบาท
และมียอดรายจ่ายทุกเดือนๆละประมาณ 1 พันบาท
ไม่ใช่เดือนละกว่าหมื่นบาทแต่อย่างใด
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1144 วันที่ 1 - 7 กันยายน 2560)
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1144 วันที่ 1 - 7 กันยายน 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น