
จากกรณีที่ชาวบ้านอำเภอแม่เมาะ
ทั้งหมด 18 ราย รวมตัวกันยื่นหนังสือฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง
โดยคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เพื่อให้
กฟผ.แม่เมาะหยุดดำเนินการและให้อนุรักษ์ซากหอยขม 13 ล้านปี
ซึ่งเมื่อวันที่
27 ก.ค.50 ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้เพิกถอนสัมปทานเหมืองลิกไนต์
อ.แม่เมาะ และยกเลิกมติ ครม.ที่ลดพื้นที่อนุรักษ์แหล่งซากฟอสซิลหอยขม 13 ล้านปี
และให้
ครม.สั่งการให้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนแหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นเขตโบราณสถานภายใน
180 วัน ซึ่งขณะนั้นผู้ฟ้องได้ทำหนังสือยื่นถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทาง
กฟผ.ยุติการยื่นอุทธรณ์ต่อศาล
และให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการฟื้นฟูฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ที่เหลืออยู่ และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
เรียนรู้เพื่อการศึกษาของมนุษยชาติต่อไป รวมทั้งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ชดเชยค่าเสียหายที่ได้สั่งการไถและทำลายซากฟอสซิลหอยขมดึดำบรรพ์จนย่อยยับ จาก 43
ไร่ เหลือเพียง 18 ไร่ และดำเนินการตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ด้วยความเคารพในคำสั่งศาลและด้วยจิตสำนึกในความเป็นคนที่รักและหวงแหนทรัพย์สมบัติของแผ่นดินเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีต่ออนุชนรุ่นหลังสืบไป
ทั้งนี้
เรื่องดังกล่าวได้เงียบหายไปนานนับ 10 ปี กระทั่งเมื่อวันที่ 19 ก.ค.60 ศาลปกครองสูงสุดได้กำหนดให้วันที่ 21 ส.ค.60 เป็นวันสิ้นสุดแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งทางผู้ฟ้องต่างมีความหวังว่าศาลจะพิพากษาคดีนี้โดยเร็ววัน
หลังจากรอคอยกันมานานกว่า 10 ปี
นางมะลิวรรณ
นาควิโรจน์ ผู้ร่วมฟ้องคดี กล่าวว่า
หลังจากที่ศาลสั่งยุติแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว
อยู่ระหว่างรอศาลนัดไต่สวนคู่กรณีอีกครั้ง ซึ่งต้องรอคำสั่งผ่านทางทนายความ
ขณะนี้ไม่มีใครทราบว่าภายในพื้นที่ของสุสานหอย 13 ล้านปีเป็นอย่างไรบ้าง
เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกระทรวงทรัพยากรฯ แต่ที่ผ่านมาศาลได้สั่งระงับการขุดเหมืองบริเวณสุสานหอยไว้
เมื่อสอบถามว่าคิดว่าจะต้องรอการพิพากษาอีกนานหรือไม่
นางมะลิวรรณ กล่าวว่า จากหลายคดีที่ผ่านมาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อสิ้นสุดแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว
ก็จะนัดไต่สวนคู่กรณี และมีคำพิพากษาในอีกประมาณ 1 เดือน คาดว่าจะทราบผลในเร็วนี้
ซึ่งชาวบ้านก็ยังรอคอยความหวังอยู่
สำหรับซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ขุดพบครั้งแรกที่เหมืองแม่เมาะ
อ.แม่เมาะ เมื่อเดือน มิ.ย. 46 จำนวน 43 ไร่ หลังจากที่มีการขุดค้นพบ กฟผ.ในฐานะที่เป็นเจ้าของพื้นที่
ได้แจ้งเรื่องให้ผู้เชี่ยวชาญของกรมทรัพยากรธรณีเข้ามาศึกษาตรวจสอบ
พร้อมกับการที่ได้มีการแจ้งเรื่องการค้นพบดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
และมีการมอบหมายให้ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น
เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการอนุรักษ์พัฒนาพื้นที่ดังกล่าวนี้ จากการตรวจสอบพบว่า
เป็นชั้นฟอสซิลหอยขม ที่มีความหนาที่สุดในโลก 12 เมตร แนวทางในการอนุรักษ์พื้นที่ซากฟอสซิลหอยอายุหลายล้านปี
กฟผ.ได้เคยเสนอไว้ 2 แนวทาง คือ 1.อนุรักษ์พื้นที่ซากฟอสซิลหอยไว้
18 ไร่
โดยทำให้ไม่สามารถขุดถ่านหินลิกไนต์ขึ้นมาใช้ได้บางส่วน หรือ 2.อนุรักษ์พื้นที่ซากฟอสซิลหอยไว้ทั้งหมด 43 ไร่
โดยที่จะไม่สามารถขุดเอาถ่านหินลิกไนต์ ที่สำรวจพบในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 265
ล้านตันขึ้นมาใช้ได้เลย
ขณะนั้น
คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบแนวทางที่ 2 ที่จะให้อนุรักษ์พื้นที่ไว้ทั้งหมด
ภายใต้แนวคิดว่าแหล่งฟอสซิลหอยนี้เป็นมรดกโลกที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
และแนวคิดนี้ก็ได้รับความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ก.พ.47 การดำเนินการอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
น่าจะเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น
จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการทำการศึกษาเพิ่มเติม
ตามที่มีผู้เสนอแนะว่าการอนุรักษ์พื้นที่ไว้ทั้ง 43 ไร่
จะส่งผลกระทบสูงต่อการดำเนินงานของ กฟผ.
ผนวกกับการที่ผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ตรวจสอบพบว่า
พื้นที่ฟอสซิลหอยนี้ ไม่เข้าข่ายการเป็นมรดกโลกแนวทางการอนุรักษ์พื้นที่ไว้เพียง 18
ไร่ จึงเป็นตัวเลือกใหม่ ซึ่ง
กฟผ.ได้ทำเรื่องเสนอขอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเดิมทันที จนในที่สุดเมื่อวันที่
21 ธ.ค.47 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแนวทางการอนุรักษ์พื้นที่ฟอสซิลหอยไว้
18 ไร่ พร้อมกับการกันพื้นที่อีกส่วนหนึ่งเพิ่มเติมรวมเป็น 52
ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและพิพิธภัณฑ์ถาวร
โดยที่พื้นที่อนุรักษ์จะแยกออกจากพื้นที่ทำเหมืองอย่างชัดเจน
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้รับทราบแนวทางดังกล่าวแล้ว
กฟผ.โดยเอกชนที่เป็นคู่สัญญาในการเปิดหน้าดิน
จึงได้เข้าดำเนินการในพื้นที่บริเวณที่พบซากฟอสซิลหอย
ก่อนที่ต่อมาจะมีกระแสคัดค้าน โดยกลุ่มองค์กรต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดลำปาง
ที่ไม่เห็นด้วยกับการขุดเหมืองบริเวณดังกล่าว
เพราะมองว่าซากฟอสซิลหอยถือเป็นมรดกโลก ที่มีคุณค่าของจังหวัดลำปาง
สมควรจะรักษาไว้ทั้งหมด ไม่ใช่อนุรักษ์ไว้เพียงบางส่วนเท่านั้น
ดังนั้นจึงมีรวมตัวแกนนำและชาวบ้านรวม 18 คน จากตำบลแม่เมาะ
อำเภอแม่เมาะจังหวัดลำปาง ทำหนังสือยื่นแก่ศาลปกครองกลาง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 ก.ค.50
ที่ผ่านมาศาลปกครองมีคำสั่งอนุรักษ์แหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ อายุ 13 ล้าน ที่เหลืออยู่ 18
ไร่ และให้
ครม.สั่งการให้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนแหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นเขตโบราณสถานภายใน
180 วัน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1141 วันที่ 11 -17 สิงหาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น