แนวภูเขาทางด้านทิศตะวันออกของเมืองลำปางนอกจากดอยพระบาทแล้ว
ที่ต่อเนื่องกันมาก็คือ “ดอยงาม” ปราการสูงทะมึนแห่งนี้ มองเห็นได้จากในเมือง และบางมุมเรายังเห็นไปถึงองค์เจดีย์สีขาวของวัดม่อนพระยาแช่ตั้งอยู่ลิบ
ๆ ท่ามกลางผืนป่าเขียวขจี
วัดม่อนพระยาแช่เป็นวัดเก่าแก่บนเนินเขา เชื่อมโยงแนวความคิดเรื่องเขาพระสุเมรุ
อันเป็นแกนกลางของความเชื่อเรื่องจักรวาลในพระพุทธศาสนา
จึงไม่แปลกหากเทือกดอยบริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของวัดอีกหลายวัด เช่น วัดพระบาท
วัดม่อนจำศีล วัดม่อนปู่ยักษ์ ฯลฯ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล ดำริห์กุล
นักวิชาการจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวัดม่อนพระยาแช่ไว้ในเฟซบุกของท่านว่า
ดอยงามนั้น ปรากฏในตำนานว่าเป็นที่อยู่ของพระสุพรหมฤาษี ผู้สร้างเขลางค์นครเมื่อปี
พ.ศ. 1223
และได้มอบให้พระเจ้าอนันตยศ
พระราชโอรสองค์เล็กของพระนางจามเทวีปกครอง ด้วยเหตุนี้ ดอยงามจึงมีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์
เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งยังเป็นที่สถิตของอารักษ์ผีเมืองและผีขุนน้ำ
พระสุพรหมฤาษีเป็นผู้มีวิชาผสมยา
สามารถชุบคนแก่ให้กลายเป็นคนหนุ่มได้ ต่อมามีพระยาลัวะจากขุนแม่ระมิงค์ เชียงใหม่
ชื่อพระยาวุฑโฒ เดินทางมาขอให้พระฤาษีชุบตัวให้
ในการชุบตัวต้องนอนแช่น้ำยาในอ่างยา แต่ปรากฏว่าพระยาวุฑโฒเสียชีวิต
สถานที่ที่พระยาวุฑโฒนอนแช่ในอ่างน้ำยาตายจึงถูกเรียกขานว่า “ม่อนพระยาแช่” และภายหลังได้มีการสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นบนม่อนแห่งนี้
ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพลกล่าวว่า
จากการตรวจสอบภาคเอกสารไม่พบเรื่องราวใด ๆ
ของพระธาตุม่อนพญาแช่ปรากฏในสมัยล้านนาก่อนพุทธศตวรรษที่ 25 เลย ทว่าจากการวิเคราะห์ตำนานพระธาตุม่อนพญาแช่ ซึ่งพบชื่อ
“เมืองกุกกุตตะนคร” ในเมืองเวียงดินปรากฏอยู่ ทั้งนี้ จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า
ชื่อที่เกี่ยวกับกุกกุตตะนครดังกล่าว มักจะเกี่ยวข้องกับกุกกุตตนที หรือแม่น้ำกก
ซึ่งสะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชนลุ่มแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงราย นั่นคือชาวเมืองเชียงแสนที่ถูกกวาดต้อนอพยพมาอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวังตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่
24 เป็นต้นมา ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ได้มีการเกิดขึ้นของตำนานใหม่
ๆ หลายฉบับ อาทิ ตำนานพระแก้วดอนเต้า
อีกทั้งเมื่อตรวจสอบโบราณสถานองค์พระธาตุม่อนพระยาแช่
ที่เป็นเจดีย์ก่ออิฐขนาดเล็ก ศิลปะแบบพม่า ไม่มีร่องรอยของการบูรณะทับซ้อนแต่อย่างใด
ซึ่งศิลปะแบบพม่าที่ปรากฏในเมืองลำปางและล้านนาทั่วไปนั้น จะเป็นศิลปะพม่าแบบอมรปุระ-มัณฑะเลย์
ซึ่งเป็นศิลปะพม่ายุคหลัง สร้างขึ้นโดยชาวพม่าและชาวไทยใหญ่
ซึ่งเป็นคนในบังคับของอังกฤษที่เข้ามาค้าขายและทำธุรกิจในล้านนาช่วงหลังจากปี พ.ศ.
2400
เป็นต้นมา
รวมทั้งรูปแบบเจดีย์พระธาตุม่อนพระยาแช่ก็เป็นศิลปะพม่ายุคหลัง
(อมรปุระ-มัณฑะเลย์)
ดังนั้น ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพลจึงสรุปว่า
พระธาตุม่อนพระยาแช่เป็นพระธาตุเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 25 มานี้เอง
นอกจากจะเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาแล้ว
วัดม่อนพระยาแช่ยังเป็นที่ตั้งของโครงการ “เฮาฮักม่อนพระยาแช่”
ซึ่งจัดกิจกรรมทำฝาย ปลูกต้นไม้ และป้องกันไฟป่าอยู่เนือง ๆ
อีกทั้งยังเป็นห้องเรียนธรรมชาติของกลุ่ม “มะค่าหลวง” อีกด้วย
นับเป็นวัดที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและชุมชนดีทีเดียว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1140 วันที่ 4 - 10 กรกฎาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น