เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2560 เวลา 09.00
น. นางตีคณา บุรพเกียรติ์
พร้อมครอบครัว ได้เดินทางไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)
ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อขอเข้าพบ
พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนพระครูไกรสรวิลาส
รักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง ในกรณีที่พระครูไกรสรวิลาสประพฤติไม่เหมาะสม กล่าวหานางตีคณาว่าเคยเป็นแม่เล้า
โกงเงินวัดดำรงธรรม ใช้วาจาหยาบคายโดยได้พูดต่อหน้าญาติโยมจำนวนมาก
ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และพระครูไกรสรวิลาสยังได้ส่งข้อความและรูปภาพของนางตีคณาผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์ต่อๆกันไป
ให้ยังญาติโยมเข้าใจผิดว่า นางตีคณา
เป็น 18 มงกุฎ ซึ่งการยื่นหนังสือร้องเรียนครั้งนี้
นางตีคณาได้นำหลักฐานทั้งคลิปเสียงของพระครูไกรสรวิลาศและหลักฐานการส่งข้อความกล่าวหาทางไลน์
เข้าร้องเรียนด้วย
ในการยื่นหนังสือร้องเรียนครั้งนี้ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้รับหนังสือร้องเรียนด้วยตนเอง
ก่อนจะให้นายประทีป มูลลาภ ผู้อำนวยการกลุ่มคุ้มครองพระพุทธศาสนา
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้ารับหนังสือร้องเรียนโดยตรงกับนางตีคณา
ซึ่งนายประทีป กล่าวว่า หลังจากได้รับหนังสือร้องเรียนแล้ว จะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อหาข้อเท็จจริง
แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนระเบียบและขั้นตอนของการร้องเรียน อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน
ซึ่งหลังจากยื่นหนังสือร้องเรียนไปแล้ว ในวันที่ 30 ต.ค.2560 ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามความคืบหน้ากับนายสงคราม ไชยนาม เจ้าพนักงานการศาสนาชำนาญงาน
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
นายสงคราม กล่าวว่า
หลังจากได้รับหนังสือร้องเรียนมา ก็ได้อ่านและทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
และได้ทำการประชุมหารือกับทางผู้บังคับบัญชา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าทางเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่จังหวัดลำปางหรือไม่
ซึ่งยังคงต้องรอการประชุมหาข้อสรุปอีกครั้ง พร้อมกันนี้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะทำหนังสือส่งให้ทางเจ้าคณะจังหวัดลำปางพิจารณา
และทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เพื่อให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางมอบให้สำนักงานพระพุทธจังหวัดลำปาง
ไปถวายความสะดวกและถวายคำแนะนำแก่เจ้าคณะจังหวัดลำปาง และจะทำหนังสือแจ้งไปยังพระครูไกรสรวิลาศ
รักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรมด้วย
นายสงครามยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างร้ายแรงและซับซ้อนอยู่มาก จะต้องมีการหารือหลายฝ่ายและต้องทำการอย่างรอบครอบ หากตรวจสอบแล้วพบว่าพระครูไกรสรวิลาสทำผิดจริง ก็ต้องดำเนินการตามความผิด
ด้าน
นางตีคณา
บุรพเกียรติ์ ผู้ร้องเรียน กล่าวว่า
สาเหตุที่ตนมายื่นหนังสือร้องเรียนถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ก็เพราะที่ผ่านมาตนและครอบครัวได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนหลายที่
ทั้งทางเจ้าคณะจังหวัดลำปาง รองเจ้าคณะจังหวัด
เจ้าคณะอำเภอเมืองลำปาง รวมถึงพระครูโสภณพิพัฒนาทร เจ้าคณะตำบลสบตุ๋ยและเจ้าอาวาสวัดท่าคราวน้อย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพระครูไกรสรวิลาศ แต่ก็ไม่เป็นผลและไม่ได้รับความเป็นธรรมแต่อย่างใด แม้ทางเจ้าคณะตำบลสบตุ๋ยกับตนได้ตกลงและนัดให้พระครูไกลสรวิลาสเข้ามาขอโทษและทำหนังสือว่ากล่าวตักเตือน
หากไม่มาทางเจ้าคณะตำบลสบตุ๋ยรับปากว่าจะทำการปลดพระครูไกรสรวิลาสออกจากตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม
แต่เมื่อถึงเวลาพระครูไกรสรวิลาสไม่มา และเจ้าคณะตำบลสบตุ๋ยก็ไม่ได้ปลดพระครูไกรสรวิลาสออกจากตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสตามที่ได้รับปากตนไว้
ส่วนสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำปาง ก็เคยไปยื่นหนังสือร้องเรียนแล้วแต่ก็เงียบไป
แม้พระครูไกรสรวิลาศเคยได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนและยอมรับสารภาพว่าได้พูดจาใส่ร้ายและส่งข้อความใส่ร้ายตนเองทางไลน์ว่าเป็น
18 มงกุฎจริง แต่ก็ไม่เคยได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานใดเลย
ทั้งนี้
หลังจากเกิดเรื่องและไม่ได้รับความเป็นธรรม
ก่อนที่จะเดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตนได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับทางพระครูไกรสรวิลาสไว้แล้ว ในข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำหนังสือเชิญให้มารับทราบข้อกล่าวหา
แต่พระครูไกรสรวิลาศไม่ยอมมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกหมายเรียกครั้งที่
1 ซึ่งพระครูไกรสรวิลาสได้อ้างว่าไม่อยากพิมพ์ลายนิ้วมือเพราะจะอาบัติ
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ซึ่งพระครูไกรสรวิลาสก็ได้อ้างอีกว่าช่วงเดือนตุลาคมติดกิจนิมนต์หลายงาน
จึงได้ทำหนังสือขอเลื่อนการเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา และล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 3
แล้ว หากครั้งนี้ไม่มารับทราบข้อกล่าวหาตามที่กำหนด ก็จะทำการออกหมายจับต่อไป
นางตีคณา ได้กล่าวอีกว่า พระครูไกรสรวิลาส
หรือที่รู้จักกันในนามพระครูติ่ง อายุ 23 ปี ประพฤติไม่เหมาะสมในเพศบรรพชิต
วาจาที่พระครูไกรสรวิลาศได้กล่าวออกไปเป็นคำหยาบคาย สร้างความเสื่อมเสียให้กับตนและครอบครัว ถูกดูถูกเหยียดหยาม
เกลียดชังจากผู้ที่ไม่รู้ความจริง และทุกครั้งที่พระครูไกรสรวิลาศได้กล่าวหาก็ไม่เคยมีหลักฐานใดๆ
มาแสดง เพื่อชี้ความผิดของตนและครอบครัวเลย
ทั้งนี้
เรื่องเดิมเกิดจาก นางตีคณา บุรพเกียรติ์ และครอบครัว
ได้เข้ามาเป็นเจ้าภาพในการสานต่อทำพระพุทธรูป ที่ทางวัดดำรงธรรมได้สร้างไม่เสร็จ โดยใช้งบประมาณ จำนวน 150,000 บาท และรับเป็นเจ้าภาพทำฉัตรหลวง 9 ชั้น
เพื่อประดิษฐานไว้เหนือเศียรพระพุทธรูป ใช้งบประมาณอีก
จำนวน 120,000 บาท ดำเนินการทำจนแล้วเสร็จภายใน
5 เดือน พร้อมกับได้เป็นเจ้าภาพในการประกอบพิธีถวายเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาไปแล้วเมื่อวันที่
11 มิ.ย.60 แต่กลับถูกพระครูไกรสรวิลาส
ได้กล่าวหาว่านางตีคณาและครอบครัวเป็น 18 มงกุฎ ขโมยเงินวัดไป
และขโมยเงินซองในวันงานพิธียกฉัตร
ที่มีแขกผู้มีเกียรติได้มาร่วมทำบุญ และได้พูดจากล่าวหาว่า
นางตีคณาเคยเป็นแม่เล้ามาก่อน กระทั่งพระครูไกรสรวิลาส
ต้องจำนนด้วยหลักฐานและออกมายอมรับแก่สื่อมวลชนว่าได้ใส่ร้ายนางตีคณาและครอบครัวจริง นางตีคณาจึงได้ร้องเรียนและเรียกร้องให้เจ้าคณะตำบลสบตุ๋ย
พิจารณาพฤติกรรมของพระครูไกรสรวิลาส แต่เรื่องเงียบไป ก่อนที่นางตีคณาจะแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1153 วันที่ 3 - 9 พฤศจิกายน 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น