
“พระองค์บอกชาวบ้านว่า
ให้ปลูกป่าไปเรื่อยๆ ปลูกไม้สักทดแทนให้ป่าอุดมสมบูรณ์” (มีคลิป)
หนึ่งในภารกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยือน
จ.ลำปาง หลายครั้งหลายคราว คือการติดตามความคืบหน้าการดูแลรักษาสวนป่า
ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙
ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการพลิกฟื้นผืนป่า และการสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับประชาชน
จึงมีพระราชดำรัสให้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ที่มีภารกิจหลักในปลูกไม้เศรษฐกิจ
และประกอบอุตสาหกรรมไม้ หันมาจัดทำสวนป่าให้เป็นส่วนป่าเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ปลูกป่าทดแทนให้มีพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ อ.อ.ป.จึงได้เริ่มดำเนินการจัดสร้างสวนป่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พระองค์ให้ความสำคัญกับ
อ.อ.ป.ค่อนข้างมาก เสด็จมามาทอดพระเนตรสาธิตการทำไม้กับอ.อ.ป.หลายครั้ง
ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มการปลูกสร้างสวนป่า และทรงเสด็จมาเยี่ยมติดตามการทำงานอยู่ตลอด
เป็นที่ภาคภูมิใจของชาว อ.อ.ป. อย่างมาก
ประวุฒิ
เล่าถึงรถพระที่นั่ง ซึ่งเป็นรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ DODGE
สี่ประตู สีไข่ไก่ ระบบขับเคลื่อนแบบออโตเมติก
หมายเลขทะเบียน ลป-๐๔๙๗๔
เมื่อปี ๒๕๒๑ ในหลวงรัชกาลที่๙
ได้เสด็จมาตรวจเยี่ยมชมการแสดงที่ศูนย์ฝึกลูกช้างบ้านปางหละ อ.งาว และสวนป่าแม่เมาะ
อ.แม่เมาะ แต่ไม่มีรถพระที่นั่งมาด้วย ซึ่งขณะนั้น รถยนต์เก๋ง DODGE คันนี้เป็นรถที่ดีที่สุดของ อ.อ.ป. จึงได้จัดเป็นรถรับเสด็จพระองค์ หลังจากที่พระองค์ได้ประทับรถคันนี้แล้วก็ได้นำเก็บและไม่เคยใช้งานอีกเลย
เนื่องจากเป็นความภาคภูมิใจที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมชมสวนป่าของ อ.อ.ป.
ถือว่าเป็นสิริมงคล และเป็นการแสดงความจงรักภักดี
นอกจากนั้น
ในหลวงรัชกาลที่๙ พระราชินี
พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ รวม ๕ พระองค์
ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปพักผ่อนอิริยาบถที่สวนป่าทุ่งเกวียน อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
เป็นการส่วนพระองค์ พร้อมทั้งทรงปลูกต้นไม้ภายในสวนป่า และได้เติบใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน
การเสด็จในครั้งนั้นสร้างความภาคภูมิใจกับประชาชนที่ร่วมรับเสด็จเป็นอย่างมาก

เช่นเดียวกับราษฎรที่เคยเฝ้ารับเสด็จที่สวนป่าแม่ทรายคำ
ก๋อง ปัญญาสาด อายุ ๕๙ ปี เล่าว่า
เมื่อก่อนพื้นที่แห่งนี้เป็นป่าเสื่อมโทรมมีการทำไม้กันมากแต่ไม่ได้ปลูกทดแทน กระทั่งได้มีการจัดสร้างสวนป่าขึ้นมาเมื่อปี
๒๕๑๔ ในหลวงรัชกาลที่๙
เสด็จมาเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๙ ก็ได้ไปรอรับเสด็จได้มองเห็นพระองค์ไกลๆแต่ก็ตื้นตันใจมาก
พระองค์บอกชาวบ้านว่าให้ปลูกป่าไปเรื่อยๆ ปลูกไม้สักทดแทนให้ป่าอุดมสมบูรณ์
เมื่อทราบว่าพระองค์เสด็จสวรรคต
อยากจะร้องไห้เหมือนกับคนอื่นที่เสียใจกันมาก พระองค์ทำความดีเพื่อประชาชนทั่วประเทศ
เป็นเหมือนพ่อของพวกเรา ดังนั้น อยากขอให้หยุดตัดไม้ทำลายป่า
เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ป่าต้นน้ำลำธาร และช่วยกันปลูกป่ามากขึ้น

วันที่สูญเสียในหลวง วันนั้นตนกำลังทานข้าวอยู่
พอได้ยินแถลงข่าวการเสด็จสวรรคต น้ำตาไหลก็ออกมาทันทีเพราะรักและเทิดทูนพระองค์อย่างที่สุดและอย่างที่หลายคนพูดว่าหากตายแทนได้ก็อยากตายแทน เพราะพระองค์ช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ ขอให้พระองค์อยู่บนสวรรคาลัยที่สูงสุด
เพื่อคอยมองดูพวกเราตลอดไป

ไพลิน
เล่าว่า เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
พอได้ยินข่าวทางแถลงการณ์ในหลวงรัชกาลที่๙เสด็จสวรรคต ก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใครเลย
เสียใจมากที่พระองค์จากไป หลังจากนี้ตนก็จะทำตามรอยพระองค์ เลี้ยงปลา ปลูกผัก
อยู่อย่างพอเพียง ขอให้พระองค์อยู่สุขสบายไม่ต้องลำบากอีกแล้ว
นอกจากภารกิจการจัดทำสวนป่าแล้ว
อ.อ.ป.ยังมีศูนย์ฝึกลูกช้าง เพื่อกิจการด้านการทำไม้ โดยในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระราชินีฯ ได้เสด็จไปเยี่ยมชมอยู่บ่อยครั้ง

ย้อนไปในวันที่ได้มีโอกาสรับเสด็จในครั้งนั้น
เป็นวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ติดตา อดีตควาญช้างเล่าว่า
“ตื่นตั้งแต่เช้าไปเอาช้างในป่ามาอาบน้ำขัดงาขัดเล็บให้สะอาดสวยงามส่วนผมเองนั้นใส่เสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงิน
สวมหมวกใบลาน มีผ้าขาวม้าผูกเอว จากนั้นนำช้างมาตั้งแถวรอรับเสด็จ และแสดงช้างลากไม้ให้ทอดพระเนตร
หลังจากแสดงเสร็จก็ได้นำช้างเดินไปหน้าพระพักตร์หมอบลงทำความเคารพ และให้ช้างเดินไปรับอาหารจากพระหัตถ์
ห่างกันประมาณ ๓ เมตร
พระองค์ได้สอบถามว่าช้างตัวนี้ดูแลยากไหม นิสัยดีไหมก็ได้ตอบไปว่า
สอนง่าย นิสัยดีเชื่อฟังควาญ พระองค์ได้บอกว่าช้างตัวนี้เก่งกว่าเพื่อนเลย ดูแลให้ดีนะ ผมตื้นตันใจมากที่ได้พูดคุยกับพระองค์
แม้จะผ่านมา ๔๐ ปีแล้วแต่ยังจำทุกอย่างได้ตรึงใจ”

สิทธิเดช เล่าว่า
หลังจากจบการศึกษาที่คณะสัตวแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี ๒๕๓๖ จากนั้นได้มาสมัครทำงานที่ฝ่ายอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือ
อ.อ.ป. ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังตั้งศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยพอดี และเป็นช่วงที่ อ.อ.ป.ได้นำช้างในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙
มาเลี้ยงดูแลที่ จ.ลำปาง เขาโชคดีมากที่ปีสุดท้ายได้เข้าไปฝึกงานที่วังจิตรลดา ขณะนั้นหม่อมหลวงพิพัฒนฉัตร
ดิสกุล ดูแลโรงช้างต้นอยู่ เมื่อทราบว่ามาทำงานกับช้างที่ จ.ลำปาง จึงพาเข้าไปฝึกงานเกี่ยวกับช้างในวัง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอช้างสำคัญในรัชกาลที่
๙ ทั้งหมด และในปี ๒๕๓๗ ในหลวงรัชกาลที่๙ มีพระราชกระแสรับสั่งที่จะย้ายช้างทั้งหมดออกจากวังสวนจิตรลดามาพักผ่อนในป่าธรรมชาติ
เลยมีการเคลื่อนย้ายพระเศวตทั้งหมด โดยย้ายช้างเพศผู้ ๒ ช้าง คือ พระเศวตพาสุรคเชนทร์
และพระเศวตสุธวิลาศ มาที่ จ.ลำปาง และเพศเมียที่เหลือ ย้ายไปที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
จ.สกลนคร ถือว่าเป็นบุญที่สุดที่ได้เข้ามาดูแลช้างสำคัญในพระองค์ทรงเลี้ยงอีกครั้ง
สิทธิเดช เล่าต่อว่า
ในปี ๒๕๔๗ พระเศวตอดุลยเดชพาหลเพียงช้างเดียวอยู่ในวังจิตรลดา เพราะเป็นช้างเผือกเอกคู่บารมีประจำพระองค์
ต้องอยู่ใกล้ชิดกษัตริย์มากที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ ๒ ปี ในหลวงรัชกาลที่๙เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่วังไกลวังวล
อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตามประเพณีจึงต้องย้ายช้างเผือกเอกไปด้วยจึงเคลื่อนย้ายพระเศวตอดุลเดชพาหล
และทรงมีรับสั่งให้ทีมสัตวแพทย์จาก จ.ลำปาง คณะสัตวแพทย์ ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกับทีมของกรมป่าไม้มาร่วม
หลังจากเคลื่อนย้ายแล้วหน้าที่อีกอย่างหนึ่งก็คือ สัตวแพทย์ที่ จ.ลำปาง
จะต้องจัดเวรไปดูแลสุขภาพช้างเป็นประจำ
ครั้งนั้นเองปี ๒๔๕๙ ซึ่งเขาได้ไปเข้าเวรที่วังไกลกังวลตามปกติ
“พระองค์มีกระแสรับสั่งว่าจะพาพระสหายมาเยี่ยมชมพระเศวตฯใหญ่
จึงเป็นครั้งในชีวิตที่ได้มีโอกาสถวายงานอย่างใกล้ชิดมากที่สุด ผมนี่หมอบติดพระองค์ท่านเลย
ได้ถวายพานกล้วยอ้อยให้กับในหลวงกาลที่๙ และทรงสนทนาสอบถามถึงอาการทั่วไปของพระเศวตฯ
พอถวายงานเสร็จแล้วก็ได้มีโอกาสกราบแทบพระบาทของพระองค์” เขากล่าว
ด้วยน้ำเสียงปลื้มปิติยิ่ง
สิทธิเดช เล่าว่า
อีกครั้งที่จำได้สนิทใจ คือเมื่อปี ๒๕๕๒ พระองค์ทรงพระราชทาน ส.ค.ส.ให้กับคนที่ถวายงานรับใช้ในวังไกลกังวล
จึงได้เข้าเฝ้าในพระตำหนักเปี่ยมสุข และพระองค์ท่านเสด็จลงมาพระราชทาน ส.ค.ส.ซึ่งข้าราชบริพานในวันนี้ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์พระองค์เอง
ทุกวันนี้ยังเก็บไว้อย่างดี
“ผมเชื่อว่าการจากไปของพระองค์
ทำคนไทยทุกคนเสียใจมากเพราะท่านคือหัวใจของคนไทยทั้งชาติ บางทีเราเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่๙
น้ำตาก็ไหลแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นแบบอย่างที่ดีในทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง กฎหมาย ศิลปะ ดนตรี และกีฬา หลักที่ทุกคนต้องน้อมนำไปใช้คือแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งดูแล้วเป็นแนวเดียวกับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ลดความโลภ ความหลง ความทะเยอทะยาน อยู่กับความพอเพียง
เป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทุกคนทำได้สังคมไทยจะเป็นสังคมที่น่าอยู่มาก”
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1152 วันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น