กุลธิดา สืบหล้า...เรื่อง
แม้เทศกาลลอยกระทงจะผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว
แต่ดูเหมือนวิวาทะเรื่องการปล่อยโคมลอยนั้น ยังมีออกมาเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องขยะ
ไฟไหม้ และเป็นอันตรายต่อการบิน ล่าสุดกัปตันสายการบินหนึ่งโพสต์ข้อความ พร้อมคลิป
ระบุว่าขณะกำลังนำเครื่องลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่ เขาเห็นโคมลอยเฉียดหัวเครื่องไปในระยะน่าหวาดเสียว
นับว่าโชคยังดีที่ไม่ส่งผลกระทบอันใดกับเครื่องของเขา “ดวงเราคงยังดีอยู่สินะ”
กัปตันรำพึงเช่นนี้ นี่ถ้าผู้โดยสารรู้คงจะร้อน ๆ หนาว ๆ กันบ้าง
“การปล่อยโคมไฟ หรือลอยโคมในทุกวันนี้เป็นธุรกิจ
ไม่ใช่วัฒนธรรมประเพณี” ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล ดำริห์กุล
นักวิชาการจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นไว้ในเพจ
“เท่าที่จำได้ ตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2530
มาเป็นอย่างน้อย เมืองต่าง ๆ ในล้านนา โดยเฉพาะที่เมืองเชียงใหม่
ก็ยังไม่ปรากฏมีการปล่อยโคม หรือลอยโคมเป็นจำนวนมากเป็นบ้าเป็นหลังเช่นนี้”
อาจารย์สุรพลได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการปล่อยโคมลอยของชาวล้านนาในอดีตว่า
เมื่อถึงวันยี่เป็ง เวลาเช้าและกลางวัน ชาวล้านนาจะไปวัด ทำบุญและฟังธรรม
เนื่องจากวัดในชุมชนจะมีการเทศน์มหาชาติ จากนั้นพระสงฆ์กับชาวบ้าน
ซึ่งก่อนหน้านั้นช่วยกันทำโคมจนเสร็จแล้ว ก็จะร่วมกันปล่อยโคมขึ้นสู่ท้องฟ้า
นัยว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ ปล่อยทุกข์โศก
และเพื่อบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ทั้งนี้ โคมลอยของชาวล้านนาในอดีตคือโคมกระดาษคล้ายลูกโป่งขนาดใหญ่
มีชนวนจุดไฟให้เกิดควันไว้ด้านล่าง ปล่อยควันเข้าไปจนเต็ม แล้วจึงปล่อยให้ลอยขึ้นบนฟ้า
โคมที่ปล่อยในตอนกลางวัน เรียกกันว่า โคมลอย หรือโกมลอย นอกจากนี้
ยังนิยมปล่อยโคมในตอนกลางคืนด้วย เรียกว่า โคมไฟ หรือโกมไฟ เนื่องจากมีตะเกียง
หรือชนวนจุดไฟไว้ด้านล่าง เพื่อให้สว่างมองเห็นชัดเจน ซึ่งปกติแต่ละวัด
หรือแต่ละชุมชนจะปล่อยโคมลอยจำนวนไม่มาก
เพียง 1 หรือ 2 โคมเท่านั้น
จึงไม่ได้มีโคมลอย หรือโคมไฟเต็มท้องฟ้าเช่นทุกวันนี้
อาจารย์สุรพลกล่าวต่อไปว่า การปล่อยโคมลอยจำนวนมากเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อจังหวัดสุโขทัย
กรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกันจัดงานประเพณีลอยกระทง
เผาเทียน เล่นไฟ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ซึ่งได้มีการปล่อยโคมจำนวนมหาศาลขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือโบราณสถาน นับเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
และนับแต่นั้นมา การปล่อยโคมก็ดูเหมือนจะแพร่กระจายไปทุกงานสำคัญ ๆ
กล่าวโดยสรุป อาจารย์สุรพลบอกว่า
การปล่อยโคมลอย
หรือโคมไฟของนักท่องเที่ยวและชาวเมืองเชียงใหม่ในเทศกาลลอยกระทงเป็นเพียงการละเล่นที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเพณีวัฒนธรรมเลย
บทความดังกล่าวมีผู้แสดงความคิดเห็นมากมาย
สะท้อนให้เห็นความคิดความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว บางคนบอกว่า สวยงามดีออก
ยิ่งตอนเครื่องบินบินผ่าน ฟินจะตาย...
ใช่เพียงเท่านั้น มีผู้ใช้เฟสบุก Sornsak
Ott Ekkarattana
ซึ่งออกตัวว่าเป็นคนสูงอายุและเป็นคนเมืองเชียงใหม่แท้ ได้โพสต์เล่าเรื่องราวน่าสนใจว่า
คืนหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2541 เขาและเพื่อน ๆ ขับรถขึ้นไปเที่ยวบนถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ
ซึ่งสมัยนั้นยังคงเปิดให้ขึ้นไปชมวิวด้านบน ระหว่างนั้นบังเอิญเห็นดวงไฟลอยขึ้นจากวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ
จึงขับรถตามไปดูด้วยอยากรู้ที่มาของดวงไฟสวยงามเหล่านั้น
แล้วก็พบผู้สูงอายุสองสามคนกำลังปล่อยโคมไฟตรงลานชมวิวของวัด
ผู้สูงวัยเรียกสิ่งประดิษฐ์ตรงหน้าว่า “ว่าวไฟ” จุดเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี
เขา ซึ่งทำธุรกิจร้านอาหารริมแม่น้ำปิง จึงเกิดไอเดียที่จะสร้างความประทับใจให้ลูกค้า
โดยจะนำโคมลอยเหล่านี้ไปจุดในคืนวันลอยกระทงที่กำลังจะมาถึง
ว่าแล้วก็ไปตามหาสล่าที่รับทำโคมลอยแถวบ้านบ่อสร้างจนพบ และสั่งทำโคมลอย 50 ลูก ซึ่งสล่าเองยังแปลกใจว่า ทำไมถึงสั่งเยอะขนาดนี้
เป็นอันว่า ลอยกระทงปีนั้น เขาจุดโคมลอยแล้วปล่อยมันขึ้นสู่ท้องฟ้าตรงท่าน้ำหลังร้านอาหารทุกครึ่งชั่วโมง
ผลก็คือ ได้รับความสนใจอย่างมาก เขาบอกว่า “โน้ส อุดม” ยังแวะมาเที่ยว
และปล่อยโคมด้วย พร้อมกับถามว่า นี่เรียกว่าอะไร
หลังจากนั้น เขาก็ทำแบบนี้ในคืนลอยกระทงทุกปี
ทว่าเพียงสองสามปีให้หลัง ตามแผงขายกระทงริมถนนเริ่มมีโคมลอยวางขายกันมากมาย
ท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่เริ่มเต็มไปด้วยโคมลอย ข่าวคราวร้าย ๆ เกี่ยวกับโคมลอยเริ่มปรากฏ
แม้แต่ร้านอาหารของเขาเองก็ได้รับผลจากโคมลอยที่ตกลงมาใส่ต้นไม้บริเวณร้านและไหม้
ตัวเขาเองเริ่มคิดแล้วว่า การแพร่ระบาดของโคมลอยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตนเองที่นำมาเผยแพร่
จากนั้นจึงยุติและต่อต้านการใช้โคมลอย ทว่าดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว
“ผมยืนยันได้เลยว่า
มันไม่เคยมีโคมไฟบ้านี้บนท้องฟ้าเหนือลำน้ำปิง (ที่อื่นไม่ทราบ)
ในคืนลอยกระทงก่อนปี พ.ศ. 2541 เลยครับ” เขากล่าวในประโยคท้าย
ๆ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1154 วันที่ 10 -16 พฤศจิกายน 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น