ได้ข่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เปิดแคมเปญ “Amazing Thailand Go Local-เที่ยวท้องถิ่นไทย
ชุมชนเติบใหญ่ เมืองไทยเติบโต” ขานรับนโยบายรัฐบาลปลุกกระแสท่องเที่ยวเมืองรอง
หลัง ครม. ประกาศลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวเมืองรอง 15,000 ตลอดปี
พ.ศ. 2561 (เมืองรองที่ว่านั้น รวมลำปางบ้านเราด้วย)
นอกจากนี้ ททท.
ยังมีแผนที่จะจัดทำหนังสือคู่มือแนะนำเส้นทางท่องเที่ยว พร้อมรายชื่อผู้ประกอบการ
ที่พัก โรงแรม โฮมสเตย์ ที่สามารถนำใบเสร็จมาลดหย่อนภาษีได้
โดยคาดว่าจะสามารถแจกแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ในวันที่กระแส Go Local กำลังแรง เราเพิ่งได้อ่านบทความเกี่ยวกับบ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่
(จังหวัดเชียงใหม่ไม่ใช่เมืองรอง เป็นเมืองหลัก) แต่ก็นั่นแหละ
ตอนนี้ชาวบ้านผู้อยู่อาศัยจริง ๆ กำลังทุกข์หนักจากปัญหารถติดยาวนับ 10 กิโลเมตรในช่วงวันหยุดยาว ปัญหาที่จอดรถ ความแออัดของผู้คน ปัญหาขยะกองโต
และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องแลกกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
อันเป็นผลมาจากการชิม ช็อป และแชร์ทางสื่อโซเชียล ไม่ว่าร้านอาหาร ที่พัก
หรือร้านกาแฟ ซึ่งส่วนหนึ่งดำเนินการโดยคนนอกชุมชน ผุดขึ้นราวดอกเห็ด
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2542
บ้านแม่กำปองเพิ่งจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว ต่อมาวินิจ รังผึ้ง
นักเขียน-ช่างภาพ ได้เขียนถึงบ้านแม่กำปองไว้ในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับมิถุนายน 2544 โดยบรรยายไว้ว่า
“หมู่บ้านแม่กำปอง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางหุบดอย
ด้านซ้ายเป็นเทือกดอยแม่ลาย ขวามือของถนนเป็นดอยแม่รวม
สองเทือกดอยสูงชันขนาบหมู่บ้าน
มีสายธารลำน้ำแม่กำปองไหลผ่านกลางหุบดอยและกลางหมู่บ้าน
บ้านเรือนปลูกกันเป็นกลุ่มไล่ระดับลดหลั่นตามความสูงของสันดอย
ลักษณะเป็นบ้านไม้ทาสีน้ำตาล หลังคากระเบื้องสีเทาดำ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ
บ้านแต่ละหลังใหญ่โตกว้างขวางและดูมั่นคง
บ่งบอกถึงความอยู่ดีกินดีของชาวแม่กำปองได้เป็นอย่างดี ด้วยทำเลที่ตั้ง
ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีความสูงเฉลี่ยราว 1,300 เมตร
จากระดับทะเลปานกลาง อากาศจึงเย็นสบายตลอดทั้งปี และค่อนข้างจะหนาวจัดในฤดูหนาว
ชาวบ้านแม่กำปองจึงมีอาชีพที่เหมาะสมในการทำสวนเมี่ยงและไร่ชา กาแฟ
ซึ่งได้ผลดียิ่ง
“นักท่องเที่ยว หรือคนต่างถิ่น
หากแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนบ้านแม่กำปองในช่วงกลางวัน อาจจะพบว่า
บ้านเรือนแต่ละหลังปิดเหมือนไม่มีคนอยู่
เพราะในแต่ละวันชาวบ้านจะขึ้นดอยเข้าสวนไปเก็บใบเมี่ยง...” อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็คิดว่า
นี่คือบ้านเล็กในป่าใหญ่ชัด ๆ
วินิจเล่าต่อว่า
“หมู่บ้านแม่กำปองนี้ได้เปิดเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
มีบริการที่พักแบบโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวที่สนใจท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา
ได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่พื้นบ้านแบบไทย ๆ ของหมู่บ้านบนดอยสูง การเข้าไปพักลักษณะนี้
นักท่องเที่ยวต้องมีใจรักที่จะเข้าไปศึกษา
มีความเคารพให้เกียรติเจ้าของบ้านที่ไปพัก
พร้อมทั้งปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์ของหมู่บ้านอย่างเคร่งครัด ซึ่งทางกรรมการหมู่บ้าน
ได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ
วางระเบียบการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ของบ้านแม่กำปองไว้
โดยที่ผู้สนใจจะต้องติดต่อแจ้งความประสงค์ พร้อมทั้งข้อมูล วัน เวลา รายชื่อ
จำนวนผู้เข้าพัก และที่อยู่ที่สามารถติดต่อกลับได้
เพื่อกรรมการจะได้พิจารณาเตรียมการรับรองเรื่องอาหารและโปรแกรมนำชมหมู่บ้านล่วงหน้า
พร้อมทั้งตรวจสอบว่า ควรจะตอบรับบริการหรือไม่ จึงจะมีการตอบรับเป็นทางการอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าใครมีเงินแล้วจะขับรถเข้าไปเสียเงินใช้บริการได้เลย เพราะอาจจะเข้าไปสร้างปัญหากับหมู่บ้านได้”
จะเห็นว่า เมื่อ 17 ปีก่อนนั้น บ้านแม่กำปองวางแนวทางรับนักท่องเที่ยวไว้อย่างชัดเจน จากบทความของวินิจเรามองถึงอนาคตได้เลยว่า
หมู่บ้านนี้ต้องมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนแน่ ๆ แต่แล้วทำไม
ทุกวันนี้บ้านแม่กำปองจึงต้องประสบปัญหาอย่างที่กล่าวมากันเล่า เรื่องนี้คนในพื้นที่
รวมทั้งนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ คงรู้อยู่แก่ใจ
ก่อนออกเดินทางตลอดปีนี้ นอกจากจะเช็คกันให้ดี
ๆ ว่าเที่ยวเมืองรองมีจังหวัดไหนบ้าง เพื่อจะได้ไม่ลืมขอใบเสร็จ
ใบกำกับภาษีมาด้วยทุกครั้ง ก็ยังอยากให้ Go Local กันแบบระมัดระวัง
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตอันสุขสงบของชุมชนท้องถิ่น ขณะเดียวกัน
ชุมชนเองก็ต้องคิดรอบด้านว่า คุ้มค่าหรือไม่ที่จะเปิดบ้านรับแขกผู้มาเยือน
เพราะความสุข ความเป็นส่วนตัวส่วนหนึ่งต้องเสียไปอย่างแน่นอน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1162 วันที่ 12 -18 มกราคม 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น