ข่าว “ตีแผ่พฤติกรรมแสบ ทัวร์ศูนย์เหรียญ
เชื้อโรคร้ายการท่องเที่ยวไทย-จีน
กำราบหัวโจก..หมดสิ้นทัวร์ด้อยคุณภาพ” ของ น.ส.พ.เดลินิวส์ เป็นข่าวดีเด่น
รางวัลอิศรา อมันตกุล ประจำปี 2559
กองบรรณาธิการเดลินิวส์
อธิบายว่า
แม้ในช่วงแรกของการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญจะทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจากจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของการท่องเที่ยว
เนื่องจากเป็นการคัดเลือกนักท่องเที่ยวที่มีเงินจับจ่ายใช้สอยจริงๆมาท่องเที่ยว
ดร.สังศิต
พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต บอกว่าในปี 2558 หนึ่งปีก่อนการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ
มีนักท่องเที่ยวจีนในเมืองไทยเกือบ 8 ล้านคน สร้างรายได้ให้คนไทยราว 371,000 ล้านบาท ข่าวหน่วยงานราชการไทยจับทัวร์จีนในเมืองไทย
สร้างความสับสนให้แก่ชาวจีนมาก
หนังสือพิมพ์เฉิงตู เมืองที่คนจีนมาเที่ยวประเทศไทยมากที่สุด
เตือนชาวจีนหลีกเลี่ยงมาเที่ยวเมืองไทย เนื่องจากความสับสนว่า
เมื่อทางการไทยยึดรถทัวร์หลายพันคัน
นั่นหมายความว่าทัวร์จีนจะอลหม่านกับการไม่มีรถเดินทาง
หลังกระแสข่าวทัวร์ศูนย์เหรียญ
นักท่องเที่ยวจีนลดลงกว่า 50
% ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง มัคคุเทศก์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก
พังพาบทั้งระบบ ผู้บริหารบริษัทโอเอที่ทำธุรกิจนี้มายาวนาน ถูกตั้งข้อหาหนัก เป็นอั๊งยี่ เพื่อให้เข้ามูลฐานความผิดฟอกเงิน
เป็นเงื่อนไขในการยึดทรัพย์ อีกทั้งเป็นข้อหาที่ทำให้การพิจารณาให้ประกันตัวเป็นเรื่องยากเย็น
พวกเขาถูกคุมขังยาวนาน
ระหว่างคดี ในขณะที่พนักงานบริษัทนับพัน
คนทำงานในธุรกิจต่อเนื่องอีกหลายพันคน
ต้องตกงาน
ความผิดฐานเป็นอั้งยี่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209
คือ 1.เป็นสมาชิกของคณะบุคคล 2.ปกปิดวิธีดำเนินการ 3.มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งเป็นการเขียนกฎหมายให้สอดคล้องกับบริบทสังคมยุคหนึ่ง
มาถึงปัจจุบันความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
แต่ใช้อ้างเพื่อยึดทรัพย์คนได้
อั้งยี่
ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง
“สมาคมลับของคนจีน” อั้งยี่เป็นสมาคมลับของคนจีนที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์
ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์จะช่วยเหลืออนุเคราะห์กลุ่มชาวจีนด้วยกันเอง ต่อมาสมาคมเหล่านี้ดำเนินงานอย่างไร้ระเบียบ
ก่อปัญหารุนแรงขึ้นหลายครั้งจนทางการต้องใช้อำนาจขั้นเด็ดขาดเข้าจัดการ
และใช้กฎหมายบังคับ
ขณะที่ผู้บริหารบริษัทโอเอ
ดำเนินธุรกิจเปิดเผย ทำมาหากินสุจริต สร้างฐานะด้วยความอดทนและเหนื่อยยากยาวนาน
และลักษณะ ขนาดของธุรกิจ และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ก็ไม่แตกต่างไปจากกลุ่มธุรกิจ M , J และ
S แต่บริษัทเหล่านั้น
กลับไม่ได้เป็นอั้งยี่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
เป็นความร้ายแรงระดับชาติที่ต้องจัดการถึงที่สุดอย่างบริษัทโอเอ
ผู้การโจ๊ก
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ตร.ท่องเที่ยว ผู้เอาการเอางาน
ขยันขันแข็งอย่างยิ่งในการจัดการกับบริษัทโอเอ วันนี้กลับเงียบสนิท
ไม่แสดงราคาความเป็นมือปราบผู้สามารถในการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญอีก
โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง
คดีอั้งยี่ และข้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับข้ออ้างว่าจำเลยทำให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
และศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องอัยการให้ยึดทรัพย์จำเลย อันเป็นผลมาจากการตั้งข้อหาอั้งยี่
ด้วยเหตุผลในตอนหนึ่งของคำวินิจฉัยของศาล
“ทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดไว้นั้น
จะเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานอั้งยี่ เป็นความผิดมูลฐานที่จะต้องให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่
ศาลเห็นว่า ผู้ร้องมีพยานเพียง 3 ปากเบิกความเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของบริษัท
ฝูอัน ฯ และบริษัทซินหยวน ฯกับกลุ่มผู้คัดค้าน แต่พยานเหล่านั้นไม่ได้ลงไปตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของผู้คัดค้านด้วยตนเอง
อีกทั้งไม่เคยได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวหรือเจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด
แม้ผู้ร้องจะมีเอกสารอ้างว่ามีการร้องเรียนผ่านสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
แต่เอกสารดังกล่าวก็เป็นเพียงการสรุปจำนวนและประเภทข้อพิพาทของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ไม่เกี่ยวกับกลุ่มของผู้คัดค้านแต่อย่างใด”
สังคมเชื่อง่าย
ทำให้เกิดภาพมายาที่เชื่อกันต่อๆมาว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญคือความเลวร้ายของประเทศนี้
ทั้งที่ความเป็นจริง ไม่เคยมีทัวร์ศูนย์เหรียญเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1169 วันที่ 2 - 8 มีนาคม 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น