
ช่วงนี้ตามหมู่บ้านมีใครสังเกตบ้างว่ามีรถเร่ขายหมึกราคาถูกมาตระเวนขายกันอย่างคึกคัก
แถวบ้านพิชัยมีรถคันหนึ่งมาแต่เช้า ประกาศปาว ๆ ว่า ขายหมึกสดราคากิโลกรัมละ 50 บาท
ที่ขายถูกได้ เพราะไปรับมาจากเรือโดยตรง ???
หมึกที่เรากินกันอยู่นั้น
แรก ๆ มีอยู่ไม่กี่ชนิด หมึกกล้วย หมึกหอม หมึกกระดอง หมึกสาย และหมึกศอก
หมึกกล้วยพบทั่วไปในอ่าวไทย
รูปร่างยาวเรียว ลำตัวกลม ครีบเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ด้านท้าย
ในลำตัวมีกระดองใสเหมือนแผ่นพลาสติก ถูกจับขึ้นมาด้วยวิธีไดหมึก
จากนั้นจะถูกนำไปคัดแยกตามขนาด ก่อนส่งขายให้กับแพรับซื้อ
แพปลาก็จะขายให้พ่อค้าแม่ค้าที่มารับซื้ออีกต่อหนึ่ง เพื่อนำไปขายตามชุมชน
ที่เหลือก็ส่งให้โรงแรม ร้านอาหาร
หมึกหอมและหมึกกระดองพบทั้งแถบอ่าวไทยและอันดามัน
บางทีก็นำเข้าจากเมียนมาทางจังหวัดระนอง ก่อนจะส่งต่อมายังกรุงเทพฯ หรือมหาชัย
หมึกหอมมีลำตัวเป็นทรงกระบอก
ความยาวประมาณ 26
เซนติเมตร ครีบ
หรือแพนข้างตัวทั้งสองข้างมีลักษณะกว้างและแบนยาวเกือบตลอดลำตัว
ที่ลำตัวมีจุดสีน้ำตาลอมแดงกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนหมึกกระดองมีความยาว 15-25
เซนติเมตร ลำตัวเป็นถุงรูปไข่ หัวมีขนาดใหญ่
หมึกสายส่วนใหญ่ถูกส่งเข้าโรงต้ม
จากนั้นถูกนำไปตาก แปรรูปเป็นหมึกหวาน หมึกเค็ม ขายเป็นของฝาก
หมึกศอกคือหมึกกล้วยใหญ่
ราคาดีที่สุด โดยอยู่ที่กิโลกรัมละ 270-290 บาท ส่วนใหญ่เป็นหมึกตก
จึงสดมาก เนื้อดี
ห้องเย็นจะรับซื้อแล้วฟรีซเก็บไว้ขายในช่วงที่ตลาดมีความต้องการสูง อาทิ เทศกาลสำคัญต่าง
ๆ
หลัง
ๆ มานี้ ตามห้างจะนำหมึกชนิดหนึ่งมาชำแหละขาย นั่นคือ หมึกฮัมโบลด์ (Humboldt squid) หมึกกล้วยขนาดใหญ่อาศัยชุกชุมแถบชายฝั่งแปซิฟิก แคลิฟอร์เนีย เม็กซิโก
เป็นหมึกที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาน้ำทะเลแถวนั้นอุ่นขึ้น
มันจึงแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว แล้วก็ถูกจับส่งออกเป็นอาหารราคาถูกไปทั่วโลก
บางคนเรียกหมึกเกาหลี เนื้อหนา เหนียวมาก จึงนิยมแยกชิ้นส่วนขาย
ยังมีหมึกอีกชนิดเรียกว่าหมึกอาร์เจนตินา
(Argentine
shortfin squid) หมึกชนิดนี้เองที่มีคนนำมาขายตามตลาดนัดและใส่รถเร่
เป็นหมึกกล้วยชนิดหนึ่งอยู่ในน้ำลึก 50-200 เมตร
มีมากแถบมหาสมุทรแอตแลนติกด้านทิศตะวันตก บริเวณประเทศอาร์เจนตินา อุรุกวัย สีออกคล้ำจนม่วง
ปีกหมึกสั้นกว่าหมึกกล้วยของไทย เนื้อไม่หวาน มีกลิ่นคาวจัด พ่อค้าแม่ค้าบางคนเรียกว่าหมึกอินโดฯ
พวกนี้ไปรับมาจากสะพานปลา โดยมาเป็นก้อนแช่แข็ง ขายเหมามาก้อนละ 10-20 กิโลกรัม ตกกิโลกรัมละ 35-40 บาท นำมาขายตามตลาดนัด
หรือเร่ขายในหมู่บ้าน กิโลกรัมละ 50-100 บาท
หมึกอาร์เจนฯ
เดินทางแรมเดือนจากทะเลกว่าจะถึงมือเรา
ผ่านการแช่ฟอร์มาลีนและดองด้วยเกลือมาเท่าไร ทำไมเนื้อมันยังเด้ง ดูสด นั่นเพราะพอจะขายเรา
เขาจะนำไปตีน้ำเกลือให้มันละลายและตัวใหญ่ขึ้น เนื้อจึงดูสด และแน่นอน ไร้กลิ่นใด
ๆ แม้กระทั่งกลิ่นของตัวมันเอง
สำหรับคนชอบกินหมึก
นอกจากพึงตระหนักถึงพิษสะสมในร่างกายแล้ว ที่ควรระวังมาก ๆ คือหมึกสายวงฟ้า หรือหมึกบลูริง
ซึ่งมีพิษร้ายแรงมาก และเป็นข่าวโด่งดังว่าพบปะปนมากับหมึกอื่น ๆ
วางขายอยู่ในตลาดบ้าง ในห้างบ้าง
หมึกสายวงฟ้าอาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้นชายฝั่ง
พบทั้งอ่าวไทยและอันดามัน ปกติมักแอบอยู่ตามรู ซอกหิน หรือกอสาหร่าย ไม่ดุร้าย
ไม่ได้ออกมาลอยเพ่นพ่านเหมือนพวกแมงกะพรุนกล่อง ขนาดความยาวลำตัว 15-60 มิลลิเมตร
มีลายรูปวงแหวนสีน้ำเงิน หรือสีฟ้าอยู่ทั่วตัว
พิษของหมึกชนิดนี้ประกอบด้วยพิษที่เรียกว่า
TTX (tetrodotoxin) ชนิดเดียวกับปลาปักเป้าและไม่มียาแก้พิษ
คนส่วนมากมักไม่รู้ตัวว่าโดนกัด ภายในเวลา 5-10 นาทีจะมีอาการปากแห้ง
ตาพร่า หายใจและกลืนน้ำลายลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน หลังจากนั้นจะหยุดหายใจภายในเวลา
2 ชั่วโมง เพราะพิษของหมึกสายวงฟ้าออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท
โดยจะขัดขวางการสั่งงานของสมองที่จะไปยังกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ
คนที่ถูกพิษจึงมีอาการคล้ายอัมพาต หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกระบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน
ทำให้ไม่สามารถนำอากาศเข้าสู่ปอดได้ ว่ากันว่า
หมึกสายวงฟ้าตัวเดียวมีพิษมากพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 75 กิโลกรัม จำนวน 10 คน เป็นอัมพาตได้ นอกจากนี้
พิษของมันยังแทรกอยู่ในเนื้อและไม่สลายเมื่อโดนความร้อน ดังนั้น หากนำไปปรุงอาหารกินก็ตายได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม
แม้หมึกสายวงฟ้าจะพบในไทย แต่ยังมีปริมาณไม่มากนัก โอกาสเสี่ยงมีน้อย
และหากเราสังเกตดี ๆ ก็สามารถแยกได้ เพราะแม้มันจะตายแล้ว
แต่ก็ยังพอมองเห็นลวดลายได้ชัดเจน
จากหมึกยักษ์แดนไกลมาถึงหมึกจิ๋วสวยประหาร
นี่ยังไม่รวมเรื่องไข่หมึกที่ว่ากันว่าเป็นหมึกยัดไข่ คือไข่จริงนั่นแหละ แต่เป็นไข่ไก่ผสมแป้ง
อาจมีไข่หมึกปนอยู่เล็กน้อยพอให้มีกลิ่น เฮ่อ คนชอบกินหมึกนี่อยู่ยากขึ้นทุกวัน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1190 วันที่ 3 - 9 สิงหาคม 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น