จะยอมรับ
จะพึงพอใจหรือไม่ก็ตาม ในที่สุดเส้นทางการแก้ปัญหาสื่อ
ก็มุ่งไปสู่การเกิดขึ้นของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ใช้กฎหมายควบคุม
บังคับสื่อที่ละเมิด ซึ่งอาจขัดแย้งกับปรัชญาและแนวคิดในการแก้ปัญหาสื่อ
คือมาตรการทางสังคม
เพราะเราไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
ในท่ามกลางแรงกดดัน และกระแสสังคม
ที่ต้องการให้มีกฎเหล็กลงโทษสื่อที่ละเมิดอย่างเด็ดขาด ทั้งที่สังคมนี้
มีเครื่องมือ มีกฎหมายที่จะจัดการสื่ออยู่นับสิบฉบับ แต่ไม่เคยมีใครคิดถึง
และกฎหมายไม่เคยใช้บังคับจริงจัง
ระหว่างนี้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน
ได้เดินสายเพื่อรับฟังความเห็นกฎหมายสื่อฉบับล่าสุด คือ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
โดยมีเวทีแรกที่พิษณุโลก เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
มีรากงอกมาจากกฎหมายสื่ออย่างน้อย 3 ฉบับ
ที่มีอุบัติเหตุระหว่างทาง ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางเสียที ทั้งที่การมีองค์กรกำกับ
ดูแลสื่อที่มีอำนาจ คือหมุดหมายสำคัญของการปฎิรูปในยุค คสช.
เรื่องการปฏิรูปสื่อ
คล้ายดอกไม้ไฟจุดขึ้น ส่งประกายวิบวับไม่นานนาที ก็ถูกกลืนหายไปในความมืด “จอกอ”
เคยมีบทบาทที่ต่อเนื่องมาจากคณะอนุกรรมาธิการสื่อ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ
จนกระทั่งมาถึงคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านสื่อสิ่งพิมพ์
ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เพื่อผลักดันกฎหมายฉบับนี้ในหลักการคุ้มครอง
มิใช่ควบคุม
เป็นภารกิจต่อเนื่องยาวนาน
ด้วยเห็นว่า
ภายใต้บริบทของสังคมที่ผู้คนเรียกร้องต้องการให้ใช้กฎหมายจัดการสื่ออย่างเด็ดขาดนั้น
ไม่อาจเป็นความจริงได้เลย ท่ามกลางผู้คนที่หลากหลายและส่วนหนึ่งไม่รู้เรื่องสื่อ
ความไม่รู้เรื่อง
หรือการเป็นบุคคลนอกวงการมากๆ ทำให้การพิจารณาปฏิรูปสื่อในยุค สปท.มีแต่ความงุนงง
และสงสัย
“จอกอ”มีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์
เสนอความเห็น อีกทั้งย้ำเตือนให้เข้าใจว่า การจัดการเรื่องจริยธรรมไม่มีที่ไหนในโลกเขาใช้กฎหมายบังคับกัน
กรรมาธิการสื่อ ใน สปช.ชุดที่แล้ว
ได้พยายามออกแบบเครื่องมือ เรียกว่า “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ”
เป็นองค์กรอิสระ ที่ยังต้องพึ่งพาเงินรัฐ เพื่อให้เป็นองค์กรร่มใหญ่ในการกำกับ
ดูแลเรื่องจริยธรรม
แต่ มติสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
คว่ำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้ความพยายามในการจัดตั้ง
สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนบังคับไว้ในมาตรา 49 สิ้นผลไป
ทำให้ข้อโต้แย้งในเรื่องความจำเป็นในการมีสภาที่เรียกว่า สภาร่มใหญ่
ทอดเวลาออกไปอีกอย่างน้อยเป็นปี
แม้การปฏิรูปด้านสื่อสารมวลชน
จะเป็นหนึ่งใน 11
ข้อสำคัญ ที่ถูกกำหนดเป็นวาระในการปฏิรูป แต่ในส่วนที่ 2 ว่าด้วยการปฏิรูปด้านต่างๆ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กลับไม่ปรากฏ
รายละเอียดแนวทางในการปฏิรูปด้านสื่อสารมวลชน
ทั้งที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็เอาการเอางาน
และมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการทำงานปฏิรูปสื่อ คำถามคือ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดก่อนใส่ใจ
เข้าใจ และเห็นความสำคัญของการปฏิรูปสื่อมากน้อยเพียงใด
เพราะถึงที่สุดแล้วงานที่เป็นหน้า
เป็นตาที่สุดของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสื่อ
คือการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ
ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ตัดต่อพันธุกรรมมาจาก ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิ
เสรีภาพ และส่งเสริมมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ
กล่าวได้ว่า
เป็นโชคดีของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ที่กฎหมายจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ไม่เกิดขึ้นในระยะแรกที่หลักการไม่นิ่งพอ
เพราะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปสื่อ
ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ดูเหมือนจะเห็นว่า
การใช้กฎหมายจัดการสื่อคือแนวทางแก้ปัญหาสื่อละเมิดจริยธรรมดีที่สุด
ถึงวันนี้ เราคงปฏิเสธกฎหมายไม่ได้
“จอกอ” ตรวจสอบหลักการ เนื้อหาของกฎหมายฉบับใหม่แล้ว พบว่า มีหลักการที่เพิ่มสภาพบังคับ
กับสื่อที่ละเมิดในบางส่วน ในขณะเดียวกันก็ไม่มีผลกระทบต่อหลักการดูแลกันเอง
แม้จะไม่เห็นด้วยกับกฎหมายคุมจริยธรรม
แต่กฎหมายฉบับใหม่นี้ ถอดแนวคิดเรื่องอำนาจนิยมไปแล้วทั้งหมด พอรับกันได้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1197 วันที่ 21 - 27 กันยายน 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น