ถึงแม้เวทียังไม่เปิดเป็นทางการ
แต่นักการเมืองทั้งเก่า และใหม่ ก็เริ่มเปิดตัว ถามไถ่ยังจำกันได้ไหม? อย่างน้อย 4 ปีที่ห่างเหินจากการเลือกตั้ง ทั้งคนสมัคร ทั้งคนเลือก
ก็ดูจะห่างเหินกันไปพอสมควร
ที่เห็นยังคงเก็บเกี่ยวคะแนนเสียงอยู่อย่างสม่ำเสมอคือดาชัย เอกปฐพี
นักการเมืองรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ พินิจ จันทรสุรินทร์ ที่จัดทัพเตรียมผู้สมัครไว้เสร็จสรรพ์แล้ว
ในขณะที่บ้านสวนยังเชื่อว่า จะไม่มีการเลือกตั้ง
และเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
พรรคพลังประชาธิปไตย ที่มีดร.ประแสง มงคลศิริ
อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคไทยรักไทย
และผู้ประสานงานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ในภาคเหนือ
ก็มาเปิดตัวเลือกกรรมการบริหารพรรคที่ลำปาง
คำถามสำหรับนักการเมืองไม่ว่าเก่าหรือใหม่
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ คือการหาเสียงผ่านทางโซเชียลมีเดีย
หรือสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่ง คสช.คุมเข้มอยู่
แต่ก็เป็นช่องทางร่วมสมัยที่ใครก็ปฎิเสธไม่ได้
เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่อันเป็นฐานเสียงสำคัญและอยู่ในยุคที่เกิดและเติบโตมากับสื่อออนไลน์
สื่อสังคมออนไลน์
คือช่องทางที่นักการเมืองจะเข้าถึง และหากมีวิธีการนำเสนอผลงาน ทั้งเนื้อหาและรูปแบบที่ตรงกับรสนิยมของเขา
โอกาสของนักการเมืองก็มีสูงยิ่ง
แต่อย่างไร แค่ไหน ถึงไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ที่เป็นประเด็น
คือค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งและวิธีการหาเสียง
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.)จะประกาศกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายของผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละคน
และของพรรคการเมืองที่จะใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยหารือกับหัวหน้าพรรคการเมือง
และให้มีการทบทวนจำนวนเงินให้สอดคล้องกับความจำเป็นและสภาวะเศรษฐกิจอย่างน้อยทุกสี่ปี
ขณะนี้ยังไม่มีประกาศ
แต่การกำหนดค่าใช้จ่ายที่ไม่ตายตัว แต่ยืดหยุ่นได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ
ก็นับว่าเป็นผลดีสำหรับพรรคการเมืองกระเป๋าหนัก แต่พรรคเล็กเสียเปรียบ
กฎหมายฉบับนี้ ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินจำนวนค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าว
ให้รวมถึงบรรดาเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดที่บุคคลใดๆ จ่าย หรือรับว่าจะจ่ายแทน หรือนำมาให้ใช้โดยไม่คิดค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง
โดยผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนั้นยินยอมหรือไม่คัดค้าน
คือถึงเป็นเงินคนอื่น
ก็ต้องนับรวมเป็นค่าใช้จ่ายด้วย
การหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิคส์
หรือการหาเสียงผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดีย สามารถทำได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
แต่ห้ามไม่ให้หาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
นับตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวัน
จนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง
สำหรับหลักเกณฑ์ วิธีการ
ในการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิคส์ ซึ่งจะต้องนำไปคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยนั้น
กกต.ยังไม่ได้กำหนด
และก็คงเป็นเรื่องยากในทางปฎิบัติที่จะบังคับการหาเสียงทางโซเชียล
เพราะจะต้องพิจารณารายละเอียดในหลายแง่มุมมาก เช่น
ผู้สนับสนุนนักการเมืองหรือพรรคการเมือง ที่ไม่ใช่หัวคะแนน ไม่ใช่ผู้สนับสนุนทางการ
คือผู้ใช้โซเชียลทั่วไป จะวัดอย่างไรว่าเนื้อหาแบบใดเป็นการหาเสียง
และจะคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างไร
ได้ยินมาว่า
กกต.จะปล่อยเสรีในการหาเสียงทางโซเชียลมีเดีย แล้วค่อยไปใช้กฎระเบียบ
ที่ร่างขึ้นพิจารณาสอยนักการเมืองที่ทำผิด ภายหลังเลือกตั้ง ซึ่งก็คงไม่ง่ายนัก
ข้อพึงระวังอย่างเดียวของ
นักการเมืองที่ใช้โซเชียลมีเดีย คือ ระวังอย่าสาดโคลนคู่แข่ง
หรือหาเสียงด้วยวิธีดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม เพราะจะถูกตีความได้ว่า
เป็นการนำเข้าข้อมูลซึ่งเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เป็นความผิดอาญาแผ่นดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ที่โทษหนักกว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทหลายเท่า
ไม่เข้าใจ สงสัยวิธีหาเสียงอย่างไร ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง
หรือจะใช้สื่อในเครือ “ลานนาโพสต์” กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีหาเสียงอย่างไรให้ชนะใจชาวบ้านในยุค
4.0
ลานนาโพสต์เปิดพื้นที่เต็มที่สำหรับนักการเมืองลำปางทุกคน ทุกพรรคแล้วจากนี้เป็นต้นไป
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1202 วันที่ 26 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น