วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

จิ้งกุ้ง ความอร่อยที่อาจเลือนหาย

จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์
        
ฤดูหนาวในความทรงจำช่วงวัยเด็กของคนพื้นถิ่นเหนือ อาจมีความสนุกตื่นเต้นเมื่อครั้งเดินถือเสียม ถือขวดพลาสติก เดินท่อม ๆ ไปรอบบ้านยามค่ำคืน มองหาพื้นดินที่มีดินซุย ๆ จากนั้นก็ลงมือขุดหาจิ้งกุ่ง โดนมันกัดนิ้วเอาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะโดนแม่ หรือยายบ่นมากกว่า เพราะขุดรูหาจิ้งกุ่งแล้วไม่ยอมกลบ ปล่อยทิ้งหลุมดินกระจายไว้รอบบ้าน

ทุกวันนี้ หลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่า จิ้งกุ้งที่เคยเป็นอาหารรสเลิศของเรานั้น นับวันจะหากินยากเต็มที หรือไม่ก็แพงหูฉี่ มิหนำซ้ำพวกนี้ซื้อทีละเล็กละน้อยได้เสียเมื่อไร อย่างน้อย ๆ ต้อง 10 ตัวขึ้นไปถึงจะพออิ่ม

จิ้งกุ่งเป็นชื่อพื้นถิ่นของจิ้งหรีดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในภาคเหนือ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า จิโปม คนสมัยก่อนเชื่อว่า หากถิ่นไหนมีจิ้งกุ่งสมบูรณ์ ครอบครัวจะเป็นปึกแผ่น พี่น้องรักใคร่สามัคคี ที่ดินปลูกพืชได้ผล

พวกมันอาศัยอยู่ในรูที่มีความยาวราว 50-60 เซนติเมตรเพียงตัวเดียว เว้นเสียแต่ฤดูผสมพันธุ์ที่อาจพบจิ้งกุ่งอยู่กันเป็นคู่ในรูเดียว ทั้งนี้ พวกมันจะหลบเงียบอยู่ในรูช่วงกลางวัน พอตกกลางคืนจึงจะขึ้นมาหากิน มันจะกินวัชพืชและใบไม้หลายชนิด แต่ชอบที่มีรสชาติฝาดอมเปรี้ยว และยังเป็นนักสะสมเสบียง เพราะมันมักจะนำอาหารกลับลงไปเก็บไว้ในรู

กล่าวกันว่า จิ้งกุ่งมีแรงดีดจากขาแรงกว่าตั๊กแตน 2 เท่า หากมันเป็นมนุษย์จะกระโดดได้ไกลถึง 20 เมตร จิ้งกุ่งไม่ได้ร้อง แต่ส่งเสียงโดยการเสียดสีบริเวณด้านในของปีกคู่หน้าทั้งสองข้าง ซึ่งมีอวัยวะคล้ายตะไบ พวกตัวผู้จะใช้อวัยวะคล้ายตะไบของปีกข้างขวาถูเข้ากับสันขอบปีกของปีกข้างซ้าย พร้อมกับเดินวนเวียนไปมา แล้วตัวเมียจะเดินไปหาตามเสียง เมื่อผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะวางไข่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นอีก 20 วัน ตัวเมียก็จะตาย โดยเฉลี่ยแล้ว จิ้งกุ่งมีอายุอยู่บนโลกนี้ราว ๆ 330 วัน

เราคงรู้จักจิ้งกุ่งกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเรียนรู้ที่จะกินพวกมันอย่างเอร็ดอร่อย บางคนอาจขุดหาตามรูกับมือด้วยซ้ำ ไม่ก็เอาน้ำกรอกลงในรู เดี๋ยวมันก็จะขึ้นมา นำไปตำน้ำพริก หรือทอดกรอบก็อร่อย แถมยังได้โปรตีนสูงถึง 12.8 กรัม ต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับแมลงกินได้อื่น ๆ ก็ยังน้อยกว่าพวกตั๊กแตน แมลงกระชอน และแมลงกุดจี่

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการก็เป็นห่วงว่า จิ้งกุ่งอาจหายไปจากธรรมชาติในวันข้างหน้า หากถูกขุดล่าเพื่อการค้ามาก ๆ เข้า ประกอบกับช่วงการขุดหาจิ้งกุ่งยังตรงกับช่วงที่ตัวเมียมีไข่เต็มท้อง มิหนำซ้ำแหล่งอาหารตามธรรมชาติของพวกมันนับวันจะถูกทำลาย สารเคมีจากพืชไร่ ยาฆ่าหญ้า ล้วนทำลายวัชพืชที่เป็นอาหารของจิ้งกุ่งไปด้วย ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยเสียงที่อาจทำให้ประชากรจิ้งกุ่งมีโอกาสลดน้อยถอยลง หรือสูญพันธุ์ไปได้

เช่นนี้ปัจจุบันจึงมีคนหันมาเพาะเลี้ยงจิ้งกุ่งกันอยู่บ้าง แต่ก็ได้ข่าวว่าเลี้ยงยาก จึงไม่ค่อยชัดเจนนักสำหรับธุรกิจนี้ จากการศึกษาเทคนิคเพาะเลี้ยงจิ้งกุ่งในเชิงเศรษฐกิจของศูนย์วิจัยกีฏวิทยาป่าไม้ที่ 1 อำเภองาว จังหวัดลำปาง พบปัญหาจากนิสัยตามธรรมชาติของจิ้งกุ่งที่ชอบอยู่เดี่ยว ๆ เมื่อถูกนำมาขังรวมกันจึงมักต่อสู้กันเอง ทำให้มีอัตราการตายสูง ต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคนิคและวิธีการอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาให้สามารถเลี้ยงรวมกันได้ เพิ่มอัตราการรอด ลดอัตราการตาย และลดต้นทุน

ทางศูนย์ฯ แนะแนวทางหนึ่งที่น่าจะได้ผลอยู่บ้าง นั่นก็คือ การเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจากพ่อแม่พันธุ์ตามธรรมชาติ หรือนำพ่อแม่พันธุ์ไปปล่อยในพื้นที่ที่ต้องการ แต่ให้อยู่แบบธรรมชาติ เพื่อเป็นผลพลอยได้จากการใช้ประโยชน์พื้นที่ เช่น บริเวณบ้านที่มีความชื้น มีวัชพืช อาทิ หญ้าขึ้นอยู่ หรือบริเวณร่องสวนผลไม้ที่ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง โดยผู้เลี้ยงคอยควบคุมสัตว์ที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติ เช่น กิ้งก่าและหนู คิด ๆ ดูแล้ว นับเป็นการเลี้ยงที่ส่งผลดีกับระบบนิเวศโดยรวม จิ้งกุ่งช่วยพรวนดิน ทำให้ดินดี ปลูกพืชพรรณก็งอกงาม ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งส่งผลร้ายทั้งต่อคนและสัตว์อื่น

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1202 วันที่ 26 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2561)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์