วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ไผ่-มะแขว่นแหล่งใหญ่ ชุบชีวิตชนเผ่าปกาเกอะญอ

จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์

ต้นเดือนพฤศจิกายน ฤดูกาลของอาหารจากป่าหน้าหนาวก็วนมาถึง พืชเศรษฐกิจสำคัญมากมายกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งความสุขใจในวิถีชุมชนคนอยู่กับป่า

เช่นเดียวกับผู้คนในหมู่บ้านกลาง ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ชุมชนเล็ก ๆ ของชาวกระเหรี่ยง(ปกาเกอะญอ) กลางหุบเขาดอยแม่ส้านที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความห่างไกลจากตัวเมือง ที่มิได้มีเรื่องของฐานะเงินทองมาเป็นเครื่องชี้วัดมาตรฐานคุณค่าของชีวิต แต่อาศัยผืนแผ่นดินทำมาหากินเรียบง่ายด้วยการทำพืชไร่หมุนเวียน ซึ่งถือว่าเป็นระบบเกษตรกรรมแบบพื้นบ้านโบราณของคนกลุ่มที่อาศัยอยู่บนที่สูง  เพื่อเพาะปลูกพืชผล ผักสวนครัว หลากหลายชนิดในที่ดินแปลงหนึ่งราว 1-2 ไร่  เพื่อผลิตอาหารไว้กินตลอดปีโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนวิถีคนเมือง

 

นอกเหนือจากนั้น คือการหาของกินและสร้างรายได้จากป่า เช่นการหาหน่อไม้ เห็ด น้ำผึ้ง หนอนไม้ไผ่ แต่ความพิเศษของพื้นที่ป่าดอยแม่ส้าน เป็นแหล่งปลูกพืชสมุนไพรยืนต้น สำหรับทำพริกเครื่องแกง ที่ชื่อว่า มะแขว่นหรือทางภาคกลางเรียกว่า ลูกระมาศที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือเลยก็ว่าได้ เพราะป่าแถบนี้มีความอุดมสมบูรณ์ สภาอากาศเหมาะสมกับการเติบโตของต้นมะแขว่นให้ดอกผลพวงได้ดี

สมชาติ หละแหลม ผู้ใหญ่บ้านกลาง เล่าว่า ชุมชนเล็กๆแห่งนี้ มีประชากรไม่ถึง 300 คน ราว 65 ครัวเรือน แต่นับเป็นความโชคดีของชุมชนขนาดเล็กที่มีรูปแบบการดูแลปกครองกันเองให้อยู่ในกรอบของการดูแลรักษาป่าและชุมชนไปพร้อมกับความเป็นอยู่ นอกเหนือจากการอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐบาลไทยเช่นเดียวกับคนในชุมชนเมือง กฎสำคัญของการดูแลกันเองคือ ทุกครัวเรือนมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่ารอบหมู่บ้านให้อุดมสมบูรณ์ที่สุด

 

เราเคยก้าวข้ามจุดของยุคเสื่อมของการไหลตามสังคมความเจริญ รวมถึงการทำเกษตรเชิงเดี่ยวในอดีตอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ค้นพบว่า ชาวบ้านเป็นหนี้ ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีข้าวและอาหารกินเพียงพอ หนทางของการหันกลับมาสู่วิถีกระเหรี่ยงคือ การทำเกษตรแบบดั้งเดิม ปลูกข้าวไร่ และพืชสวนครัวที่กินได้ตลอดปี เราเริ่มกลับสู่วิถีดังเดิมอย่างเข้มเข็งเมื่อช่วงปี 2535 กลับมาทำเกษตรที่เราสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ปลูกของกินเช่น พริก มะเขือ งาดำ ฟักเขียว ฟักทอง น้ำเต้า มะระ ถั่วเขียว ถั่วดำ ข้าวโพด พืชตระกูลแตง และพันธุ์ข้าวพื้นบ้านกว่า 40-50 สายพันธุ์ ซึ่งเราจัดสรรพื้นที่ทำกินแยกชัดเจนกับพื้นที่ป่า  เมื่อเสร็จงานทำเกษตร เราก็ยังมีภาระหน้าที่ดูแลรักษาป่า เพื่อรักษาแหล่งอาหารในป่า ซึ่งปัจจุบันบางอย่าง เช่นผักกูด มะแขว่น ได้กลายเป็นอาหารที่มีความต้องการของชุมชนเมืองไปแล้ว ทุกวันนี้ชาวบ้านมีข้าวและพืชพรรณอาหารไม่ต้องซื้อหา ลดค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกันก็มีรายได้เพิ่มจากของป่า หากเราละทิ้งวิถีเกษตรแบบนี้เท่ากันว่าเรากำลังเดินเข้าสู่หนทางของการสูญพันธุ์ของพืชพรรณที่น่าเศร้าใจ

จากพื้นที่รอบหมู่บ้านเป็นป่าสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงเพาะพันธุ์มะแขว่น ปลูกกระจายในที่ทำกินแลป่ารอบหมู่บ้าน โดยมีการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินที่ตรวจสอบได้ของบัญชีต้นมะแขว่นของหมู่บ้าน เศรษฐกิจจากป่าของที่นี่มีระบบการจัดการที่น่าสนใจ

 

จากการบอกเล่าของ ชาวบ้านหลายคนบอกตรงกันว่า ทั้งสภาพป่าและสายพันธุ์ที่ดี มีผลทำให้ที่นี่เป็นแหล่งมะแขว่น คุณภาพ กลิ่นหอม เป็นที่ต้องการของตลาดสูงมาก มะแขว่นที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี ก็เก็บได้ ราว 20-30 กก. แต่ต้นที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป สามารถเก็บเมล็ดมะแขว่นดิบได้ ราว  100-200 ก.ก. และข้อดีของ ต้นมะแขว่นที่ปลูกในทิศทางที่รับแสงได้เหมาะสมจะมี อายุยืนถึง 60 ปี ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนเก็บผลผลิตมะแขว่น ตากแห้งไว้ทยอยขาย ปัจจุบันสนนราคามูลค่าเริ่มจากแผงตาก ไปจนถึงท้องตลาดหลักหลายร้อยบาทต่อกิโลกรัม  นับเป็นการเกษตรที่ลงทุนต่ำแต่รายได้สูงเมื่อเทียบกับพืชเชิงเดี่ยวค่อนข้างมาก

 

ขณะเดียวกันไม้ไผ่หลายสายพันธุ์ ในป่าแห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ ทั้งหล่อไม้และลำไผ่เพื่อการใช้สอยในชุมชนเมืองที่นับวันจะหายาก และขาดแคลน  คนประกอบอาชีพตัดลำไผ่ในยุคนี้  จะว่าไปแล้ว ไผ่เศรษฐกิจ 1 กอก็ทำรายได้ 2,000-3,000 บาท เมื่อชุมชนช่วยกันดูแลรักษาป่าได้ดีมากเท่าไหร่ ธรรมชาติก็สร้างปริมาณ พืชในป่าเพิ่มสูงขึ้นตลอดปี

วิถีชุมชนที่อยู่ป่า หรือว่าวิถีกระเหรี่ยง ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ที่มีมีจิตวิญาณรักษาผืนป่าเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต สิ่งที่เขาได้รับมากกว่าเงินทอง คือเกิดรายได้โดยไม่ฝืนวิถี  ความสุขจากแบ่งปันอาหารจากป่าสู่ชุมชนเมือง

----------------------------

ข้อมูลเพิ่มเติม : มะแขว่น เป็นพืชสมุนไพรสกุลเดียวกับพริกไทยเสฉวน (Sichuan Pepper) ผลและใบใช้เป็นเครื่องเทศชูรสอาหาร โดยผลใช้ผลสดหรือผลแห้งหรือทั้งสองอย่าง แล้วแต่ชนิดอาหาร เช่น ลาบ หลู้ แกง อาหารพื้นเมืองและอาหารท้องถิ่น เช่น ตำหวาย หลามบอน ตำน้ำพริก ฯลฯ มะแขว่นมีรสชาติเผ็ด กลิ่นฉุนแต่หอม มีสรรพคุณทางยาคือสามารถแก้หวัดได้ ถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการทางตลาดสูง

 (หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1206 วันที่ 23 - 29 พฤศจิกายน 2561)

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์