องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
หรือไทยพีบีเอส เป็นองค์กรสื่อสาธารณะด้านวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์
มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ สิ่งที่สังคมได้ยินวาทกรรมซ้ำๆ
คือ ไทยพีบีเอส
เป็นหน่วยงานด้านการสื่อสารมวลชนเพียงแห่งเดียวของไทยที่มีเงินไหลเข้าองค์กรปีละอย่างน้อย
2 พันล้านบาท โดยผู้บริหารไม่ต้องดิ้นรนอะไร
ในความเป็นจริง เงินจำนวนนี้ มาจากบทบัญญัติของพระราชบัญญัติ องค์การ
ที่เขียนไว้ว่า ให้องค์การมีอำนาจจัดเก็บเงินบำรุงองค์การ
จากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ
ในอัตราร้อยละหนึ่งจุดห้าของภาษีที่เก็บจากสุรา และยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยสุรา
และกฎหมายว่าด้วยยาสูบ และจัดสรรให้เป็นรายได้ขององค์การ
โดยให้มีรายได้สูงสุดปีงบประมาณละไม่เกินสองพันล้านบาท
เงินสองพันล้านบาทที่กำหนดแหล่งที่มาของทุนจากภาษีสุราและยาสูบ
หรือที่เรียกว่าภาษีบาป ก็เพื่อให้องค์การสื่อแห่งนี้
ปลอดจากทั้งอำนาจรัฐและอำนาจทุน เพื่อให้ทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระ อันเป็นแนวคิดและปรัชญาในการก่อตั้ง
ที่ต่อเนื่องมาจากการปฎิรูปสื่อหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535
ภายใต้งบประมาณจำนวนนี้ ซึ่งไม่ได้แปลว่า
ไทยพีบีเอสมีภารกิจเพียงเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเท่านั้น เช่น
การส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชนให้ก้าวหน้าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
ส่งเสริมเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารเพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตย ดังนั้น
พื้นที่ของไทยพีบีเอส ทุกตารางนิ้ว จึงไม่ได้หมายถึงหน้าจอทีวีเท่านั้น
หากยังหมายถึงกิจกรรมทางสังคม ทางวิชาการอีกมากมาย
ที่เปิดกว้างให้ผุ้คนทุกหมู่เหล่ามาใช้พื้นที่สาธารณะแห่งนี้โดยไม่คิดมูลค่า
ในขณะเดียวกัน กฎหมายไทยพีบีเอส ยังวางระบบในการบัญชี การตรวจสอบ
และการประเมินผลอย่างเข้มข้นด้วย โดยเฉพาะการประเมินผลการดำเนินงานประจำปี
โดยคณะกรรมการประเมินผลซึ่งเป็นบุคคลภายนอกองค์การ
ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการกำหนดโครงสร้างเงินเดือน ผลตอบแทนต่างๆ
ในมาตรฐานที่ไม่แตกต่างไปจากองค์กรสื่ออื่น หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการนโยบายซึ่งเป็นผู้กำกับ
และรับผิดชอบสูงสุด อัตราค่าตอบแทนกำหนดไว้ชัดเจนในพระราชกฤษฎีกา
ซึ่งไม่ได้มีผลตอบแทนเป็นหลักแสน หรือมีสิทธิประโยชน์พิเศษมากกว่าองค์กรสื่ออื่นทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชน
ยกเว้นประธานกรรมการซึ่งอาจมีผลตอบแทนสูงกว่าเพียงเล็กน้อย
ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาขององค์การรัฐทั่วไปที่อยู่ในรูปของคณะกรรมการ
นอกจากค่าตอบแทนที่ไม่ได้สูงตามจินตนาการของ คนข่าวบางคนแล้ว การทำงานสื่อที่ไทยพีบีเอส
ยังมีนัยสำคัญที่แตกต่างจากการทำงานในสื่อเชิงพาณิชย์ที่อื่นๆ
คือจะต้องปฎิบัติตามกฎหมาย คือการบริการข่าวสารที่เที่ยงตรง รอบด้าน สมดุล
และซื่อตรงต่อจรรยาบรรณ
อีกทั้งต้องผลิตรายการทางด้านข่าวสาร สารประโยชน์ ทางด้านการศึกษา และสาระบันเทิง
ที่มีสัดส่วนอย่างเหมาะสม และมีคุณภาพสูง พวกเขาจึงต้องทุ่มเทความสามารถ
ที่จะต้องผลิตข่าวและรายการที่มีคุณภาพพร้อมๆไปกับความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม
ซึ่งบางครั้งอาจเห็นว่า ไทยพีบีเอสเสียโอกาสในการเสนอข่าวเร้าอารมณ์ ข่าวที่ขายได้
แต่ไม่มีความรับผิดชอบ เช่น ภาพข่าวนักเรียนแทงกันตายบนรถเมล์ หรือข่าวการเมือง
ก็จะต้องไม่ให้ความสำคัญกับความขัดแย้ง ไม่โอนเอียงฝ่ายใด
เช่นเดียวกับสื่อเลือกข้างบางค่าย
คุณภาพของข่าว และรายการส่วนหนึ่ง ย่อมยืนยันได้จาก 8 รางวัลโทรทัศน์ทองคำ และอีกหลายรางวัลก่อนหน้านี้
รวมทั้งการรายงานข่าวถ้ำหลวง
ซึ่งไทยพีบีเอสได้รับการชื่นชมจากชุมชนพันธุ์ทิพย์ว่าเป็นสถานีในดวงใจของพวกเขา
ในฐานะสื่อสาธารณะ การวิพากษ์วิจารณ์ไทยพีบีเอส เป็นเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่ง
เพราะสถานีแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากเงินภาษีของประชาชน ที่ประชาชนเป็นเจ้าของ ไทยพีบีเอสต้องเปิดกว้างและรับฟังความเห็นต่างได้
แต่ย่อมไม่ใช่ความเห็นที่เขียนให้คด จับต้นชนปลายไม่ถูก หรือใส่ความเท็จ
ทำให้คนอ่านสำคัญผิดในข้อเท็จจริง
คุณภาพของคนทำสื่อ อาจมีวิธีวัดมากมาย
แต่หัวใจสำคัญที่จะวัดความน่าเชื่อถือของสื่อนั้น คือความซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง
ความไม่พยายามบิดเบือนเรื่องราวให้เข้ากับความเชื่อของตัวเอง โดยฟังเขาเล่าว่า
หรือการทำซ้ำในเรื่องเดิมๆ สำนวนโวหารเดิมๆ ด้วยพื้นฐานอคติที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1219 วันที่ 1 - 7 มีนาคม 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น