
เวลาไปเดินถนนวัฒนธรรมในเย็นวันศุกร์
ภาพที่คุ้นเคยมักจะต่างไปจากกาดกองต้า คือเรามักเห็นผู้คนเลือกซื้อของกิน
แล้วเดินกินไปเรื่อย ๆ ชิมโน่นนิดนี่หน่อย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่ง
เห็นแววตาก็รู้เลยว่า กำลังสนุกและตื่นเต้นที่ได้เห็นของกินแบบ Street Food ของบ้านเรา
มีการพูดถึง
Food
Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงอาหารมาสักระยะหนึ่งแล้ว การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้
คือการเข้าไปเรียนรู้ประสบการณ์อาหารเฉพาะท้องถิ่น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต
ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ที่สืบทอดกันมาเป็นมรดกอาหาร ทุกวันนี้
อาหารจึงไม่ใช่ส่วนประกอบของการท่องเที่ยวที่ถูกละเลยอีกต่อไป นักท่องเที่ยวไม่ได้เลือกกินฟาสต์ฟู้ดที่รู้จัก
หรือเลือกเฉพาะร้านอาหารที่อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวของตนเอง แต่หันมาดั้นด้นเสาะหา
รู้จักร้านเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ร้านเก่าแก่โทรม ๆ (แต่อร่อยเทพ)
หรือแม้แต่ร้านที่คนในพื้นที่เองยังไม่เคยได้ยินชื่อ
สำหรับการท่องเที่ยวเชิงอาหารในประเทศไทยตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 12
(ปี พ.ศ. 2560-2564)
ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยผ่านการปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรแบบ
Smart Farming ตลอดจนส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ภายใต้แนวทางการพัฒนาแบบ Thailand 4.0 มีการกล่าวถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารควบคู่ไปกับการพัฒนากรรมวิธีการผลิตของภาคเกษตร
โดยจะมุ่งเน้นประสบการณ์สัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมท้องถิ่น
รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น นาข้าว
สวนผลไม้ออร์แกนิก และอาหารเพื่อสุขภาพ
“เที่ยวเพื่อกิน”
จึงเป็นแนวโน้มการท่องเที่ยวที่น่าจับตา ซึ่งหลายปีที่ผ่านมามีการวิจัยพบว่า
นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศจะมีค่าใช้จ่ายในหมวดอาหารและเครื่องดื่มค่อนข้างสูง
และมักมองหาอาหารพื้นถิ่นแปลกใหม่ในแต่ละที่ที่เดินทางไป
โดยถือว่าอาหารเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในการท่องเที่ยว พวกเขาเสาะแสวงหาอาหารแปลก
ๆ ออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อตระเวนชิมอาหารตามสถานที่เฉพาะเจาะจง เพื่อให้ได้ชิมเมนูนั้นโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO)
ได้มีการสำรวจความเห็นจากหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวในระดับประเทศและภูมิภาคทั่วโลกเกี่ยวกับประเด็นต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงอาหารพบว่า
ร้อยละ
88.2 มองว่า อาหารเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างแบรนด์และยกระดับภาพลักษณ์ของท้องถิ่น
ร้อยละ
67.6 มองว่า องค์ประกอบสำคัญที่สุดต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร คือ
คุณภาพและความหลากหลายของวัตถุดิบในท้องถิ่น เช่นเดียวกับร้านอาหาร ซึ่งสามารถนำเสนออาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมและความแปลกใหม่
ขณะเดียวกันก็ยังคงเอกลักษณ์ท้องถิ่นไว้ได้
ร้อยละ
62 ให้ความสำคัญกับเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหาร การเรียนการสอนทำอาหาร
และเวิร์กช็อปเกี่ยวกับอาหาร
หลายคนคงคุ้นเคยกับพฤติกรรมเพื่อน
ๆ เมื่อร่วมโต๊ะเดียวกัน พออาหารทยอยมาเสิร์ฟ ก็เอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปอาหารในจาน
ต้องรอจนกว่าจะโพสต์ในโซเชียลมีเดียก่อนนั่นล่ะ จึงยอมให้เพื่อน ๆ ลงมือกินได้
เราเรียกคนเหล่านั้นว่า Foodie (ฟู้ดดี้)
ฟู้ดดี้กำลังทำให้อาหารกลายเป็นองค์ประกอบหลักของการท่องเที่ยว
คนกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงชอบถ่ายภาพอาหารก่อนกินเท่านั้น แต่หมายถึงคนที่หลงใหลในเรื่องอาหารมาก
ๆ จริงจังกับการปรุงอาหาร การเลือกวัตถุดิบ การสร้างบรรยากาศในร้าน การตกแต่งจาน
ค้นหาความรู้เกี่ยวกับอาหาร ตำนาน ประวัติความเป็นมา
ไปจนถึงการพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ เรื่องเล่า รสนิยมของตนเอง ออกไปให้คนอื่นรับรู้ผ่านทางสื่อโซเชียล
สถิติสนุก
ๆ เกี่ยวกับมุมมองเรื่องอาหารของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่จากบทความเรื่อง “Is food the new
status symbol ?” ในเว็บไซต์มีเดียโพสต์
ร้อยละ
44 ของคนอายุ 21-24 ปี
โพสต์รูปภาพอาหารและเครื่องดื่มที่ตนเองกำลังจะกินในโซเชียลมีเดีย
ร้อยละ
61 ของคนอายุ 21-24 ปี ต้องการไปชิมอาหารในร้านเปิดใหม่มากกว่าไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่
ร้อยละ
52 ของคนอายุ 21-32 ปี
ต้องการไปร่วมงานเทศกาลอาหารมากกว่าไปงานเทศกาลดนตรี
ร้อยละ
42 เข้าร้านอาหารหรูอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
และบางครั้งยอมใช้ 1 ใน 4 ของเงินเดือนทั้งเดือนสำหรับอาหารมื้อเดียว
วลีที่ว่า
“กินเพื่ออยู่” ดูเหมือนจะถูกสั่นคลอน เพราะในความหมายของการท่องเที่ยวเชิงอาหาร
อาหารการกินไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เสียแล้ว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1235 วันที่ 28 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น