
ในความล้มเหลวของการปฎิรูปด้านต่างๆของ
รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่เพียงการปฎิรูปตำรวจเท่านั้น
ที่คณะกรรมาธิการฝั่งตำรวจ ตบเท้าเข้ามาร่วมประชุมพรึ่บพรั่บ จนสามารถต้านความพยายามในการปฎิรูปตำรวจได้สำเร็จเท่านั้น
หากการปฎิรูปสื่อที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาหลายคณะตั้งแต่ สภาปฎิรูปแห่งชาติ
(สปช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) จนมาถึง คณะกรรมการปฎิรูปประเทศ
สังคมยังเห็นคล้ายเป็นการปฎิรูปอีกด้านหนึ่งที่ล้มเหลวด้วย
แต่ในความเป็นจริง เมื่อถึงชั้นคณะกรรมการปฎิรูปประเทศ
หลังจากฉีกข้อเสนอ และผลการศึกษาทั้ง สปช.และสปท.ทิ้ง
คณะกรรมการก็ได้กฎหมายฉบับใหม่ คือ
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 โดยมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาและหลักการของร่างกฎหมายฉบับเดิมเกือบทั้งหมด
เดิมที่เป็นร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
ในยุค สปท.คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน
ที่มีพล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน และกรรมาธิการอีกบางคนที่มีบทบาทสำคัญ
ต่างมีแนวคิดในเชิงควบคุมบังคับ และพยายามผลักดันให้มีตัวแทนฝ่ายรัฐในคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
อีกทั้งมีแนวคิดในการกำกับสื่อ โดยให้มีใบอนุญาติประกอบวิชาชีพ
ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดกับหลักการพื้นฐานว่าด้วยสิทธิ
และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อ และประชาชน
การได้คนซึ่งไม่มีความรู้เรื่องสื่อมวลชน มาปฏิรูปสื่อ
จึงปรากฏความเห็นที่หลุดโลก และเลอะเทอะอย่างยิ่ง ในบันทึกข้อคิดเห็น
และข้อเสนอแนะของประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชนตอนหนึ่ง
ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับเดิม ดังนี้
“….หากมีการกระทำผิด
หรือประพฤติฝ่าฝืนจริยธรรมจะต้องถูกตรวจสอบ
และให้ออกจากการเป็นสมาชิกของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
เหตุการณ์ในลักษณะนี้ได้เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง
เหมือนกับภาวะอากาศในประเทศคือแล้งซ้ำซาก ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถาวร ยาวนาน
เรื่องสมาชิก สื่อมวลชนกระทำผิดในอดีต หลายครั้งที่เมื่อได้ข้อยุติว่าผิด
แต่สมาชิกลาออกจากสมาคม สมาพันธ์ ทำให้ขาดสภาพบังคับ
หลังจากนั้นอาจจะไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล
แล้ววนเวียนเป็นปัญหาอยู่ในอาชีพนี้ได้อีก”
และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาคิดว่า สื่อมวลชนต้องมีใบอนุญาต
มีสภาพบังคับให้ต้องเลิกอาชีพนี้ไป
ซึ่งในความเป็นจริง
เหตุการณ์นั้นอาจเป็นเรื่องที่เครือมติชน ลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
หลังจากปรากฎผลการสอบสวนกรณีข้อกล่าวหาว่า
มีอีเมลที่อ้างว่าเป็นบุคคลในพรรคเพื่อไทยมีการจ่ายสินบนให้กับสื่อมวลชน ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างใดต่อสังคม
และไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสภาพบังคับ
การเสนอความเห็นเรื่องใบอนุญาตสื่อมวลชน ของกรรมาธิการชุด
สปท.ทำให้อนุกรรมาธิการด้านสื่อสิ่งพิมพ์ในสายสื่อ 4 คนลาออก หลังจากนั้น
ก็เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน
จนสามารถกำจัดแนวคิดแปลกปลอมเช่นนั้นออกไปได้
ความเป็นจริง การกำกับดูแลด้านจริยธรรมสื่อที่ดีที่สุด
คือการใช้มาตรการทางสังคม
คือการสร้างความตระหนักและตื่นรู้ในหมู่ประชาชนผู้บริโภคข่าวสาร
ให้ปฎิเสธสื่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่อ่าน ไม่ดู ไม่ฟัง ซึ่งจะมีผลกระทบรุนแรง
กว้างขวาง และยั่งยืนกว่า แต่การมีกฎหมายก็มิใช่สิ่งที่เลวร้าย
หากเป็นกฎหมายที่มีหลักการให้การกำกับดูแลด้วยมาตรการทางสังคมมีความเข้มแข็งมากขึ้น
กฎหมายฉบับใหม่ ยังมีสภา เรียกว่าสภาวิชาชีพสื่อมวลชน
มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียน พิจารณามาตรการลงโทษ แก้ไขหรือเยียวยา
ซึ่งหากสื่อนั้นสังกัดองค์กรวิชาชีพ
ก็ยังคงเป็นอำนาจขององค์กรวิชาชีพนั้นจะพิจารณา
กฎหมายใหม่จึงยังคงรักษากติกาในการดูแลกันเองไว้
มิใช่การตรากฎหมายเพื่อให้มีกลุ่มคนที่มีอำนาจในการควบคุม บังคับสื่อ
เสมือนสื่อเป็นอาชญากรร้ายแรงเช่นแนวคิดฝ่ายอำนาจนิยมที่ผ่านมา
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1240 วันที่ 2 - 8 กรกฎาคม 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น