
เสียงเพลงลูกกรุงเก่า
ๆ แว่วมากับสายลมต้นฤดูหนาว กลุ่มชาย-หญิงวัยกลางคนกำลังวาดลวดลายโชว์สเต็ปลีลาศกันอย่างพลิกพลิ้ว
“ย่ำ ย่ำ ย่ำ ย่ำ ก้าว ย่ำ ย่ำ ย่ำ ย่ำ ถอย ชัด ชัด ชัด ชัด ช่า หนึ่ง สอง
สาม สี่ ห้า” ราวกับพื้นที่ตรงนั้นคือฟลอร์เต้นรำในสโมสรหรูหรา
แต่เปล่าเลย มันคือพื้นที่หย่อนใจธรรมดา ๆ ส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะเขลางค์นครของเรา
ความพิเศษของฟลอร์เต้นรำแห่งนี้ ไม่ได้อยู่ที่แอร์เย็นฉ่ำ วงดนตรีไพเราะ
อาหาร-เครื่องดื่มรสเลิศ แต่แค่แวดล้อมไปด้วยความร่มครึ้มของแมกไม้น้อยใหญ่ กับอากาศสดสะอาด
เพราะนี่คือโรงงานผลิตออกซิเจนขนาดย่อมให้กับปอดของพวกเรานั่นเอง
ด้วยพื้นที่ราว 34 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวา
มากพอที่จะรองรับกิจกรรมอันหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเย็น ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยชาวเมืองทุกเพศทุกวัยที่มาใช้เวลาร่วมกัน
กลุ่มเดิน-วิ่งที่สลับกันมาทั้งช่วงเช้าและเย็น
กับระยะทางวงรอบสวน 775.25 เมตร ที่เรียกเหงื่อได้ดี
และอาจตบท้ายด้วยเครื่องออกกำลังกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่มีอยู่หลายชนิด กลุ่มแอโรบิกและดนตรีท่วงทำนองชวนขยับแข้งขาของพวกผู้หญิง
กลุ่มรำไทเก็กกับดนตรีบรรเลงที่ได้บรรยากาศแบบจีน เด็กน้อยที่มุมของเล่นสนาม
เด็กโตหน่อยเข้ากลุ่มโรลเลอร์เบรดแล่นฉิว ๆ อย่างสนุกสนาน ส่วนคู่แบดมินตันก็จับจองพื้นที่ตีโต้ลูกขนไก่กันตามใจชอบ
นอกจากนี้ ยังมี กลุ่มเตะตะกร้อลอดห่วง กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่นัดกันมาซ้อมเต้นบีบอย
สตรีทเดนซ์ หรือทำกิจกรรมกลุ่มต่างๆ รวมถึงมีไม่น้อยที่แค่มานั่งเล่นหย่อนใจเงียบ
ๆ มองดูอากัปกิริยาของผู้คนเพลิน ๆ
ย้อนกลับไปในอดีต ที่นี่เคยเป็นสถานที่รวมขบวนส่งเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพบก
รวมถึงสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ กล่าวกันว่า มีการจัดขบวนอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
ในสมัยเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต
เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย ชาวตะวันตกกับแง่มุมการใช้ชีวิตในฐานะผู้จัดการห้างป่าไม้
เป็นผู้นำการใช้ชีวิตอย่างหรูหรามาเผยแพร่ ทั้งการอยู่อาศัยในบ้านหลังใหญ่
ขับรถโก้ ๆ และนำวัฒนธรรมการเล่นกีฬาอย่างเช่น กอล์ฟ เทนนิส ฟุตบอล บิลเลียด
และโปโล มาให้คนลำปางได้ซึมซับรับรู้
ทั้งนี้
พื้นที่บริเวณสวนเขลางค์ในอดีตก็เคยเป็นที่ตั้งของ “ข่วงโปโล” สโมสรที่พักผ่อนเล่นโปโลบนหลังม้าของพวกฝรั่งที่เข้ามาทำไม้และทำงานที่สถานกงสุลอังกฤษประจำนครลำปาง
ซึ่งนายมิลเลอร์ ได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งบริเวณบ้านดงในปี พ.ศ. 2449 ทำเป็นสปอร์ตคลับในนามละกอนสปอร์ตคลับ
ถือว่าเป็นสโมสรกีฬาสากลแห่งแรกในมณฑลพายัพเลยทีเดียว
กระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่
2
ราวปี พ.ศ. 2485-2488
ทหารญี่ปุ่นใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางเคลื่อนพลผ่านไปยังดินแดนทางเหนืออย่างพม่า
และได้เข้ามาตั้งกองบัญชาการที่เมืองลำปาง โดยยึดอาคารสถานที่ที่เป็นของพวกฝรั่ง
ทำให้ทั้งชาวอังกฤษ อเมริกัน และชนชาติอื่น ๆ พากันอพยพลี้ภัยสงครามออกไป
ทหารญี่ปุ่นยึดอาคารสำคัญ
ๆ ในตัวเมืองลำปาง โดยเฉพาะอาคารร้านค้าในกาดกองต้า และแน่นอน ข่วงโปโลแห่งนี้ก็กลายเป็นที่ตั้งกองทัพม้าของทหารญี่ปุ่นด้วย
เล่าต่อ ๆ กันมาว่า พวกเขาให้ม้าสวมแว่นตาสีเขียว
เพื่อหลอกม้าว่ามีหญ้าสีเขียวสดอยู่ทุกทิศทุกทาง ขณะที่โรงแรมทิพย์ช้างใกล้ ๆ
กันนั้น ถูกยึดเป็นตึกบัญชาการกองพล 1 ญี่ปุ่น
ในยุคหลัง
สโมสรข้าราชการจังหวัดลำปางได้ขายกรรมสิทธิ์การถือครองสวนเขลางค์ให้กับเทศบาลนครลำปางในราคา
13,000,000
บาท เมื่อปลายปี พ.ศ. 2534 คนลำปางจึงมีพื้นที่ออกกำลังกายและพักผ่อนกลางเมืองในชื่อสวนสาธารณะเขลางค์นคร
ผ่านมาระยะหนึ่ง
สวนเขลางค์ได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่ในสมัยนายกเทศมนตรี ดร. นิมิตร จิวะสันติการ
มีการก่อสร้างเวทีกลางแจ้ง โรงเก็บบุษบก ประตูทางเข้า ถนน และไฟทาง
ดอกปีบร่วงพราวส่งกลิ่นหอมเป็นระยะ
จวบจนถึงวันนี้ จากข่วงโปโล กับกีฬาโปโลที่คนธรรมดา ๆ คงเอื้อมไม่ถึง สวนเขลางค์คืนสู่ความเรียบง่าย
มาเป็นขวัญใจมหาชนคนรักสุขภาพและรักธรรมชาติ ซึ่งต่างก็มุ่งหวังในสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดเช่นกัน
นั่นคือ ความสะอาดและความปลอดภัย เพียงเท่านี้จริง ๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น