วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2563

ชาวบ้านลำปางที่ถูกศาลพิพากษา ข้อหาบุกรุกป่า ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 4 แสนบาท เปิดใจทั้งน้ำตา ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นใจตนเองบ้าง เพราะตอนนี้ ครอบครัวแตกแยก ไม่มีบ้าน ไม่มีที่ทำกิน


เว็บเคาน์เตอร์ 

จากกรณีศาลจังหวัดลำปาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กรณีนางวันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง หรือชื่อเดิม นางแสงเดือน ตินยอด  อายุ 53 ปี ชาวบ้านแม่กวัก ม.1 ต.บ้านอ้อน อ.งาว จ.ลำปาง ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และมีอาวุธไว้ในครอบครอง โดยศาลพิพากษาให้จำคุก 1 ปี ปรับ 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2561  นอกจากนั้นยังพิพากษาให้จำเลยออกจากพื้นที่ และรื้อถอนพืชผลอาสิน ซึ่งหลังจากที่ศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว จำเลยได้ดำเนินการประตัวในชั้นศาลด้วยเงินสดจำนวนหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับบ้านพักของญาติ ที่บ้านแม่กวัก ม.1 ต.บ้านอ้อน อ.งาว จ.ลำปาง  เมื่อค่ำวันที่ 8 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา

ต่อมา นางวันหนึ่ง  ยาวิชัยป้อง  ผู้ตกเป็นจำเลยในคดีรุกป่า ได้เปิดใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ตนเองจะเดินหน้าสู้ขอความเป็นธรรมจากศาลฎีกาอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน    

นางวันหนึ่ง  เปิดเผยว่า  โดยก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องแล้วตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2562  แต่พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 และได้นัดฟังคำพิพากษา เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า ตนเองมีความผิดตามข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและมีอาวุธไว้ในครอบครอง โดยศาลพิพากษาให้จำคุก 1 ปี ปรับ 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2561

แฟ้มภาพ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจยึด

(แฟ้มภาพ ตอนเจ้าหน้าที่เข้าตรวจยึด)

นางวันหนึ่ง  เล่าว่า ตนเองพื้นเพเดิมเป็นชาวจังหวัดเชียงราย และมามีครอบครัวอยู่ที่บ้านแม่กวัก อ.งาว ประมาณปี 2535 จากนั้นได้เข้าไปทำกินในพื้นที่เกิดเหตุ เมื่อปี 2540 เป็นต้นมา โดยได้ที่ดินผืนนี้มาจากน้าเขยของอดีตสามี จากนั้นได้เริ่มเพาะปลูกพืชต่างๆ จนกระทั่ง รัฐบาลสมัยอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ได้มีนโยบายปลูกยางพารา ตนเองเห็นว่าขณะนั้นราคายางพาราสูง จึงได้ร่วมโครงการหันไปปลูกต้นยางพารา จนกระทั่งประมาณปี 2556 และ 2558 ได้มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทดำเนินการตรวจสอบพื้นที่รุกป่า ตามนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาลชุดปัจจุบัน  ซึ่งตรวจพบว่าพื้นที่ตนเองอยู่นอกเขตอุทยานฯ แต่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติฯ  โดยได้มีการตัดต้นยางพาราไปส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งตนเป็นคนตัดเอง เพราะกลัวว่าถ้าเหลือไว้จะมีความผิด  ซึ่งตนเองได้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่ถูกตัดต้นยางพาราไป  ต่อมาได้เจ้าหน้าที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โป่งแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 แม้มีคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 คุ้มครอง และพิสูจน์ได้ว่าทำกินในพื้นที่มาก่อน

หลังถูกฟ้องร้อง ตนเองต้องต่อสู้เพียงลำพัง ครอบครัวแตกแยก ต้องเลิกรากับอดีตสามี มีลูก 2 คนคนเล็กเรียนจบแค่ ม.3 ต้องไปทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เพราะไม่มีเงินส่งลูกเรียน ด้วยความหวังว่าจะปลูกยางพาราหารายได้มาจุนเจือครอบครัว และส่งลูกเรียนหนังสือ ก็ล่มสลายไปหมด  ตอนนี้ต้องไปอาศัยอยู่กับพี่สาวที่จังหวัดเชียงราย และรับจ้างดูแลผู้สูงอายุป่วยติดเตียงที่ อ.งาว จ.ลำปาง ได้รายได้เดือนละ 4,000 บาทเท่านั้น  ต้องเทียวมาเทียวไปและยังต้องต่อสู้คดีในศาลและร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีหนี้สินเกือบ 5 แสนบาท  ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ที่ดินทำกินก็ไม่มีถูกยึดไปทั้งหมด  

นางวันหนึ่ง  กล่าวทั้งน้ำตาว่า  อยากวิงวอนขอความเห็นใจกับตนเองด้วย เพราะตนเองเกิดบนผืนแผ่นดินไทย พ่อแม่ก็เกิดแผ่นดินไทย ตายก็เผาที่แผ่นดินไทย แต่ตนถูกกระทำเหมือนเป็นคนต่างด้าวต่างชาติที่แอบลักลอบมาหากินในพื้นที่ ขอความเห็นใจด้วย  ส่วนหลังจากนี้ก็จะทำจิตใจให้สงบ ต้องให้กำลังใจกับตัวเองให้สู้ต่อไป  และเตรียมหาพยานหลักฐานต่างๆเพิ่มขึ้นมาอีก เพื่อขอความยุติธรรมกับให้กับตัวเองอีกครั้ง ส่วนจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ศาลพิจารณา แต่จะขอสู้จนถึงที่สุด




Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์