กรมการแพทย์ แนะนำการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับโดยไม่รู้ตัว นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช
รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากข้อมูลกองยุทธศาสตร์และแผนงาน
กระทรวงสาธารณสุข ปี 2561 รายงานว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 80,665 คน
โรคมะเร็งตับถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1
จากปัญหาโรคมะเร็งที่มีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของประเทศ
โดยมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งตับจำนวน 15,912 คน
นับเป็นโรคที่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
(Service
Plan) และมีการถ่ายทอดแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติลงสู่การปฏิบัติระดับพื้นที่
โดยมีเป้าหมายเป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
ดังนั้นการดูแลตนเองของประชาชนในเรื่องการป้องกันการเกิดไวรัสตับอักเสบบี
การตรวจเช็คสุขภาพ การได้รับวัคซีนป้องกัน
และผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงการรักษาในระบบสาธารณสุข
เป็นปัจจัยสำคัญที่ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับได้
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเฉียบพลันหรือแบบเรื้อรังได้
ในปัจจุบันไวรัสตับอักเสบบีเป็นสาเหตุของโรคตับแข็งและมะเร็งตับที่สำคัญของโลก
โดยข้อมูลในประเทศไทยพบว่ามะเร็งตับมากกว่าครึ่งเกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบบี
โดยไวรัสชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะ
คือจะส่งสารพันธุกรรมเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ตับทำให้ไวรัสยังอยู่ในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อตลอดชีวิต
แม้จะตรวจไม่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดก็ตาม
ยาที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบี คือ ยาต้านไวรัสแบบรับประทาน
โดยมักต้องทานยาเป็นระยะเวลานานหรือตลอดชีวิตเพื่อควบคุมโรค
ซึ่งยาต้านไวรัสในปัจจุบันมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ข้อมูลทางการวิจัยพบว่าตัวยาสามารถลดปริมาณไวรัส
ยับยั้งตับอักเสบ ทำให้พังผืดในตับลดลง อาการตับแข็งดีขึ้น
ตลอดจนลดโอกาสเกิดมะเร็งตับได้
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเริ่มการรักษาไวรัสตับอักเสบบีขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล
ได้แก่ ปริมาณไวรัสในเลือด หลักฐานการอักเสบ และพังผืดในตับ ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่อายุมากกว่า
40-50 ปี หรือมีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว
ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งตับโดยการอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน
สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการเจาะ
การสักผิวหนัง การใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น
การสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย และฉีดวัคซีนป้องกัน
ผู้ที่มีคนใกล้ชิดในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือความเสี่ยงดังกล่าว
ควรได้รับการตรวจเลือดหา HBsAg ว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
และตรวจ Anti-HBs เพื่อหาภูมิต้านทาน
เนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบระยะแรกจะไม่แสดงอาการใดๆ
จึงควรได้รับการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรังควรได้รับการรักษาและเข้าถึงระบบบริการสุขภาพตามมาตรฐาน
เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งตับ
บทความโดย โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง
ด้วยความปรารถนาดีจาก
โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง “ใส่ใจค้นหา
บำบัดรักษาโรคมะเร็งให้คุณ”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
054 335262-8 ต่อ 187 , 160
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น