ชลประทานฯเผยระบายน้ำลงแม่วังทุกวัน แต่ปริมาณไม่มากเนื่องจากน้ำในเขื่อนไม่เพียงพอที่จะไล่น้ำเสีย แนะเทศบาลปรับปรุงฝายยางเป็นฝายพับได้แทน ส่วนการสร้างประตูระบายน้ำแม้จะดีกว่าแต่ค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป
ปัญหาแม่น้ำวังเน่าเสียในเขตเทศบาลนครลำปางยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน
โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งของทุกปี น้ำจะแห้งขอดอยู่ในสภาพนิ่งและมีตะไคร่น้ำสีเขียว
วัชพืชน้ำลอยอยู่บนผิวน้ำ รวมถึงเศษขยะจำนวนมาก ทำให้เป็นภาพไม่น่ามองสำหรับผู้พบเห็น
โดยในปีนี้เทศบาลนครลำปาง ได้ดำเนินการนำเครื่องจักรเข้าตักวัชพืชน้ำ
เช่น ผักกาดน้ำ สาหร่ายหางกระรอก และผักตบชวา ออกตั้งแต่ช่วงหน้าฝายเฉลิมพระเกียรติมาจนถึงสะพานพัฒนาภาคเหนือ
และได้ขยายไปเรื่อยๆ ปัจจุบันดำเนินการ ตั้งแต่บริเวณหลังโรงพยาบาลแวนแซนต์วูดลำปาง
ถึงบริเวณหลังวัดเกาะวาลุการาม ระยะทางประมาณ 700 เมตร
โดยจะนำวัชพืชรวมกองเข้าฝั่งผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
เพื่อรอขนถ่ายไปยังลานหมักปุ๋ย
พร้อมทั้งการพัฒนาสภาพแวดล้อมและปรับภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำวัง โดยทำความสะอาดกวาด
กำจัดขยะมูลฝอย และกิ่งไม้ใบไม้แห้ง ตัดกิ่งไม้
ล้างทำความสะอาดพื้นทางเท้าตามแนวแม่น้ำวัง แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาได้เฉพาะหน้าเท่านั้น
จากการพูดคุยกับ นายสมจิต อำนาจศาล
ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา สำนักงานชลประทานที่ 2
เรื่องการปล่อยน้ำจากเขื่อนกิ่วลมเพื่อรักษาระบบนิเวศในแม่น้ำวัง
ได้รับการเปิดเผยว่า การปล่อยน้ำจากเขื่อนกิ่วลมได้ปล่อยไปทุกวัน ในปริมาณ1.4
ลบ.ม.ต่อวินาที หรือ 1.2 แสน ลบ.ม.ต่อวัน โดยปล่อยผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเขื่อนกิ่วลม ซึ่งน้ำจำนวนนี้ก็น้อยมากและจะมาไม่ถึงตัวเมือง แต่มีน้ำอีกส่วนหนึ่งที่จะปล่อยมาเพื่อผลักดันน้ำเสียในตัวเมืองเดือนละหนึ่งครั้ง
คือ ปล่อยครั้งละ 4 แสน ลบ.ม.เป็นเวลา 3 วันติดกัน เท่ากับปล่อยน้ำเดือนละ 1.2 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเดือนที่แล้วเราปล่อยมาประมาณวันที่
15-16 และเดือนนี้ก็จะปล่อยมาประมาณกลางเดือนเช่นกัน แต่ถ้าจะให้ปล่อยน้ำให้มาระบายของเสียตลอดทุกวัน
วันละ 4 แสน ลบ.ม.ก็คงไม่ไหว คือ เดือนละ 12 ล้าน ลบ.ม. เรามีน้ำไม่เพียงพอแน่นอน จึงปล่อยได้เป็นบางช่วงเท่านั้น
ส่วนเรื่องของการพูดคุยหรือการประชุมเรื่องของการสร้างประตูระบายน้ำในเขตเทศบาลนั้น
เคยประชุมร่วมกับทางจังหวัดมาแล้ว คณะกรรมการลุ่มน้ำวัง มีความเห็นว่าควรจะเป็นทำเป็นโครงการทั้งลุ่มน้ำวังเลย
แต่เนื่องจากการสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำวัง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลัก จะต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และขอความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จึงจะสำรวจออกแบบของบประมาณได้
“ในการก่อสร้างประตูระบายน้ำก็มีโอกาสทำได้
แต่ต้องศึกษาความเหมาะสมให้ดีก่อน เพราะหากเราไปกั้นหลายจุดอาจมีผลกระทบเรื่องของน้ำท่วมได้
และถ้ากั้นแล้วไม่มีน้ำมาเติม เมื่อน้ำนิ่งก็กลายเป็นน้ำเสียได้เหมือนกัน การทำงานนี้ต้องระดมทุกภาคส่วนมาช่วยกัน ไม่ใช่ว่าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะทำได้
เพราะดูแล้วจะสำเร็จยาก ต้องมีขบวนการอีกหลายขบวนการเข้ามา ต้องช่วยกันผลักดันจริงๆ โดยจังหวัดเป็นหน่วยงานหลัก
ส่วนงบประมาณในการก่อสร้างประตูระบายน้ำ ขึ้นอยู่กับความกว้าง ความยาว อาจจะหลายสิบล้านไปจนถึงร้อยล้านก็ได้
อยู่ที่การออกแบบว่ามีความยาวเท่าไร มีบันไดปลาหรือไม่ ในส่วนที่จะสร้างในเขตเทศบาลนครลำปาง
เคยพูดคุยกันอยู่ที่งบประมาณ 40 ล้านบาท”
ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา
สำนักงานชลประทานที่ 2 กล่าวต่อไปว่า ส่วนตัวตนเองมีความเห็นว่าควรจะต้องมีการปรับปรุงฝายยาง
เพราะมีอายุการใช้งานมากนาน ระบบการปิด-เปิดค่อนข้างจะลำบาก
และที่เคยคุยกับฝ่ายออกแบบ อาจจะทำเป็นฝายพับได้ เพราะเดิมมีฝายยางอยู่แล้ว
ซึ่งจะมีฐานคอนกรีต สามารถเปลี่ยนได้ โดยฝายพับได้เป็นไฮโดรริคสามารถยกขึ้น-ลงได้
สามารถสั่งการผ่านมือถือได้เลยไม่ต้องใช้คนไปเปิด-ปิดที่หน้าประตู เพียงปรับปรุงเอาตัวยางออก
ส่วนตัวฐานก็ใช้ตัวเดิมหรือเสริมขึ้นมาอีกนิดหน่อยแล้วใช้ฝายพับเข้าไปวาง ส่วนในภาคเหนือทำฝายพับได้ไปแล้วที่กว้านพะเยา
สามารถเปลี่ยนได้ปรับปรุงได้ตลอดเวลา ดีกว่าการที่รื้อใหม่ทั้งหมด ซึ่งค่าใช้จ่ายมันสูงมาก
ทั้งค่ารื้อและค่าก่อสร้างใหม่ ถ้าใช้โครงสร้างเดิมก็มาปรับปรุงเอานิดหน่อยจะประหยัดกว่ากันมาก
อย่างไรก็ตาม การสร้างฝายมีผลทั้งดี ทั้งเสีย
ถ้าเป็นฝายแข็งเลยเราเก็บน้ำได้จริงในฤดูแล้ง แต่ก็จะมีผลกระทบในช่วงฤดูฝน
เพราะพอฝนมามีน้ำมากๆ เมื่อมีอะไรไปกั้นโอกาสที่มันจะท่วมก็มีมาก ฉะนั้นต้องออกแบบให้เหมาะสม ถ้าสามารถก่อสร้างประตูระบายน้ำได้ก็จะดีกว่าแน่นอน
นายสมจิต กล่าว.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น