สำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ได้เผยแพร่เอกสารสรุปสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มี จํานวน 8,472,186.98 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 53.32 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 7,380,114.92 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 799,090.17 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน *(รัฐบาลค้ำประกัน) 285,357.53 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ7,624.36 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
❖หนี้รัฐบาล จำนวน 7,380,114.92
ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 52,818.72 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าโดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
•เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ.2563 เพิ่มขึ้น 26,000ล้านบาท
•หนี้เงินกู้ล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น
30,605 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าจากการออกพันธบัตรรัฐบาล
เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ล่วงหน้าสำหรับพันธบัตรรัฐบาล (LB256A) ที่จะครบกำหนดชำระวันที่ 17 กรกฎาคม 2564
•เงินกู้สกุลต่างประเทศ
เพิ่มขึ้นสุทธิ 9,698.46 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดจากการเบิกจ่ายเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.
2563 จำนวน 9,260.98 ล้านบาท
และการเบิกจ่ายเงินกู้ให้กู้ต่อสกุลเงินเยน สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
จำนวน 491.80 ล้านบาท
ขณะที่มีการลดลงของหนี้จากผลของอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 45.85 ล้านบาท
•เงินกู้ในประเทศเพื่อให้รัฐวิสาหกิจกู้ต่อในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเพิ่มขึ้นสุทธิ
5,462 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น (1) การเบิกจ่ายเงินกู้ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)
เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ในภูมิภาคและรถไฟความเร็วสูงจำนวน 4,381.70
ล้านบาท และ (2) การเบิกจ่ายเงินกู้ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(รฟม.) เพื่อดำเนินโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
(โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มสายสีเขียวสายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน) จำนวน 1,080.30
ล้านบาท
•หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
ลดลง18,946.74 ล้านบาท จากการไถ่ถอนพันธบัตรที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
และจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (FIDF 3) โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
❖หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 799,090.17
ล้านบาท ลดลงสุทธิ 2,627.76 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าโดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดจาก
•หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันเพิ่มขึ้นสุทธิ
1,686.82 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดจากการเบิกจ่ายเงินกู้ของ
รฟท. จำนวน 2,285.53 ล้านบาท ขณะที่มีการชำระคืนหนี้เงินกู้สกุลเงินเยนของบริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 550.09 ล้านบาท
•หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน
ลดลงสุทธิ 4,314.58 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดจากการชำระคืนหนี้เงินกู้ของบริษัท
ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)จำนวน 3,353 ล้านบาท
และการลดลงสุทธิของหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 1,430 ล้านบาทขณะที่มีการเพิ่มขึ้นของหนี้จากผลของอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 379.60
ล้านบาท
❖หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน(รัฐบาลค้ำประกัน)
จำนวน 285,357.53ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.28 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงเกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้จากผลของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
❖หนี้หน่วยงานของรัฐจำนวน 7,624.36
ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 37.48 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าโดยการเปลี่ยนแปลงเกิดจาก
•หนี้ที่รัฐบาลไม่คำประกันเพิ่มขึ้นสุทธิ 37.48 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าจากการเพิ่มขึ้นสุทธิของหนี้มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 86.09 ล้านบาท ขณะที่มีการชำระคืนหนี้เงินกู้ของสำนักงานธนานุเคราะห์ จำนวน 31.25 ล้านบาท และการลดลงสุทธิของหนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 9.37 ล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม2564 จำนวน 8,472,186.98 ล้านบาทแบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศร้อยละ 98.21 และหนี้ต่างประเทศร้อยละ 1.79 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และเมื่อแบ่งตามอายุคงเหลือสามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาวร้อยละ 85.15 และหนี้ระยะสั้นร้อยละ 14.85 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด
ที่มา :
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น