ถือโอกาสนี้พาไปทำความรู้จัก กลุ่มน้ำมอญแจ้ซ้อน กันสักหน่อย ตามข้อมูลบันทึกเอาไว้ว่า
“กลุ่มน้ำมอบแจ้ซ้อน” จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2539 จากการรวมกลุ่มของแม่บ้านบ้านศรีดอนมูล
ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ที่มีความสนใจและรักงานทอผ้าแบบพื้นเมือง
ซึ่งหลายคนก็มีพื้นฐานการทอผ้าอยู่บ้างแล้วอีกทั้งอุปกรณ์และกี่ทอผ้าก็มีกันเกือบทุกบ้าน
จึงคิดที่จะใช้เวลาว่างหลังการทำงานมาสร้างรายได้เสริมจึงช่วยกันคิดและออกแบบลวดลายจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สืบต่อมาจากรุ่นปู่รุ่นย่าสร้างสรรค์เป็นผลงานผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ
นำออกมาจำหน่ายในช่วงเทศกาลตามสถานที่ท่องเที่ยวและหน่วยงานราชการ จนเป็นที่ถูกตาต้องใจของผู้พบเห็นและได้รับการส่งเสริมและพัฒนาเป็นสินค้าโอทอปประจำจังหวัดลำปาง
สำหรับ “ผ้าทอน้ำมอญ” ถือเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาทอผ้าที่เป็นที่ภาคภูมิใจจากชาวบ้านแจ้ซ้อน
อำเภอแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง
ที่เกิดจากการนำวัสดุจากธรรมชาติมาผลิตเป็นผ้าทอที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์
มีกระบวนการผลิตต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งสีที่ใช้ย้อมยังเป็นสีจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น
“ผ้าทอน้ำมอญ” ที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นจากสีธรรมชาติผ้าที่ย้อมดี
ยิ่งตกสียิ่งสวย บางผืนจะสวยน่าใช้มาก (ไม่ใช่สีด่าง)
คนสมัยก่อนย้อมเสร็จพอตัดเป็นเสื้อแล้วนำไปแช่น้ำ ใช้ไม้ทุบให้ฟูเป็นใยนวลยิ่งเก่ายิ่งสวย
ขึ้นอยู่กับการใช้ของแต่ละคนจะสลับสีอ่อนสีแก่ไว้ตรงไหนก็งามได้
เสน่ห์ของผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติอยู่ที่แต่ละชิ้นไม่ซ้ำกันมีชิ้นเดียวในโลก
แต่ละสีที่ได้เกิดจากภูมิปัญญาพื้นบ้านและคุณประโยชน์ของพืชพรรณรอบตัว อย่าง “สีเขียวสบันงา” อันเป็นสีบอกเล่าถึงตัวตนของผ้าน้ำมอญสีนี้
ย้อมจาก "ใบเหว หรือ ใบตะเพียนหนู" พืชประจำท้องถิ่นจะขึ้นในป่าบริเวณทางไปอุทยานแจ้ซ้อน บางครั้งมีให้เห็นบ้างตามข้างทาง
มีมากในช่วง ฤดูฝน จะให้สีเขียวอมเหลืองหรือเขียวมะนาวสีเขียวสด เขียวขี้ม้า และ
สีเทา
ส่วน “สีส้ม”
ย้อมจาก “คำแสด”
และความพิเศษของดอกคำแสดนี้คือย้อมได้ปีละครั้งเท่านั้น
คือช่วงเดือน
พฤษภาคมหลังจากนั้นจะไม่มีให้เห็นแล้ว แต่ละครั้งย้อมได้ไม่มากเพราะสามารถเก็บผลคำแสดได้คราวละไม่มาก มาถึง “สีน้ำตาล” จาก “เปลือกประดู่” แต่ในช่วงหน้าฝนจะได้สีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลอมชมพู
หรือบางครั้ง “สีน้ำตาลอ่อน หรือ สีเปลือกไข่” จะใช้ “ใบลำไย”
ในการย้อมผ้าก็ได้เช่นกัน และหากต้องการ “สีเขียวอมเหลือง” ก็แค่เลือกใช้
“ใบมะม่วง” สุดท้าย “สีขาวธรรมชาติ” ไม่ย้อมไม่ปรุงแต่งเป็นเส้นใยธรรมชาติล้วนๆ อีกหนึ่งข้อสำคัญสีธรรมชาติบางสีไม่เพียงแต่ให้ความสวยงามเท่านั้นแต่ยังช่วยรักษาคุณภาพของเส้นใยอีกด้วย
นอกจากนี้ “ผ้าทอน้ำมอญ” ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความลงตัวระหว่างการนำเอาภูมิปัญญาดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้กับความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่
เกิดเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของผ้าทอน้ำมอญรักษาคุณค่าด้วยการย้อมฝ้ายด้วยสีธรรมชาติช่วยรักษาเนื้อผ้าให้คงทนสวยงามตามแบบธรรมชาติมีการออกแบบลวดลายในทางขวาง
แตกต่างไปจากการทอผ้าแบบดั้งเดิมที่นิยมออกลายตามทางยาว ทั้งนี้เพื่อสะดวกต่อการปรับเปลี่ยนลายให้ทันต่อความต้องการของตลาดที่มักเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ยังคงอนุรักษ์ของเก่าซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไว้ด้วยการขั้นลายด้วย “ไก” ซึ่งมีลักษณะเป็นลายเกลียวนูนออกมาจากเนื้อผ้า
ช่วยเสริมเสน่ห์ให้แก่ผ้าทอน้ำมอญเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่ายิ่งขึ้น ซึ่งสมัยก่อนคนทอนิยมใช้ไกในการขั้นลายผ้าถุงแต่จะเป็นเส้นเล็กๆ
ไม่นูนออกมาจากเนื้อผ้า
ดอกฝ้ายสวยงามดอกเล็กๆ
ผ่านกระบวนการต่างๆ จนได้ผ้าทอผืนงาม ล้วนเกิดจากภูมิปัญญาที่ผ่านการสั่งสมถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ผ่านการสร้างสรรค์ออกแบบลวดลายต่างๆ บนผืนผ้า
ด้วยความใส่ใจในรายละเอียดในทุกขั้นตอนทั้งคนตีฝ้ายและคนปั่นฝ้ายที่ต่างก็ทำด้วยใจที่มุ่งมั่น
จนทำให้ดอกฝ้ายปุยงามดอกเล็กๆ ที่ได้ผ่านการคัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดี
ถูกนำมาปั่นเป็นเส้นเรียงรายผ่านการย้อมสีที่ได้จากธรรมชาติก่อนจะนำมาถักทอจนเป็นผืนผ้าที่สวยงามภายใต้ชื่อ
“ผ้าทอน้ำมอญ
ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ”
อย่างไรก็ตาม
“กลุ่มน้ำมอญแจ้ซ้อน” ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความแตกต่าง
สะท้อนอัตลักษณ์ของผ้าทอน้ำมอญให้โดดเด่น โดยได้นำเส้นใยจากธรรมชาติเช่น ใยสับปะรด
ใยขิง ใยข่า ที่มีอยู่ในท้องถิ่นนำมาทอผสมกับเส้นใยจากฝ้าย เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
เช่น ผ้าคลุมไหล่จากเส้นใยสับปะรด ใยขิง หรือใยข่าเป็นต้น
และได้นำนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการใส่กลิ่น เช่น
กลิ่นตะไคร้หอมสามารถใช้เป็นผ้าคลุมไหล่กันยุงได้
กอบแก้ว
แผนสท้าน...เรื่อง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น