วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ผู้ปลูกสับปะรดลำปางแบกรับต้นทุนหนัก ทั้งปุ๋ยทั้งยาขึ้นราคา ขณะที่ราคารับซื้อสับปะรดยังต่ำ

 



เกษตรกรต้องปรับตัวหนัก หลังทั้งปุ๋ยทั้งยาขึ้นราคา ขณะที่ราคารับซื้อสับปะรดยังต่ำ  ต้องปรับตัวโดยการหาสายพันธุ์อื่นมาปลูกเสริมเพื่อขายผลสด เพราะให้รายได้ดีกว่าส่งโรงงาน  

          ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี   เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ต.บ้านเสด็จ อ.เมืองลำปาง ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกสับปะรดสายพันธุ์ปัตตาเวียแหล่งใหญ่ของ จ.ลำปาง เริ่มเก็บเกี่ยวผลออกขายสู่ท้องตลาด  โดยทางเกษตรจังหวัดลำปาง ระบุว่า ในปี 2565 นี้ คาดการณ์ว่าจะมีผลผลิตประมาณ 16,479,298 ผล คิดเป็นน้ำหนักเฉลี่ยผลละ 1.5 กิโลกรัม รวมเป็นจำนวน 24,718 ตัน   และเชื่อว่าปีนี้จะไม่เปิดปัญหาผลผลิตสับปะรดล้นตลาด เพราะมีการประสานงานโรงงานรับซื้อผลผลิตกันอย่างต่อเนื่อง



          ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบไร่สับปะรด บ้านทรายทอง  ต.บ้านเสด็จ พบว่ามีแปลงที่รอเก็บเกี่ยวอยู่จำนวนมาก โดยเกษตรกรได้เริ่มใช้ใบห่อหัวสับปะรดกันแดดที่ร้อนจัดเพื่อรอให้โตเต็มที่ เมื่อผลเริ่มแก่และตาเป็นสีเหลืองก็จะเก็บเกี่ยวออกจำหน่าย    นอกจากนั้นก็มีพื้นที่บางส่วนที่เก็บเกี่ยวแล้วและรอออกผลใหม่ เนื่องจากการปลูก 1 หน่อ จะออกผลได้ประมาณ 2-3 ครั้ง 

          นายจง ไตรยงค์ อายุ 67 ปี  ชาวบ้านทรายทอง หมู่ 10  ซึ่งมีไร่สับปะรดอยู่ประมาณ 13 ไร่ เปิดเผยว่า ได้เริ่มปลูกสับปะรดตั้งแต่ปลายปี 64 ที่ผ่านมา เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาถึง 8 เดือน กว่าผลจะโตจนเก็บเกี่ยวได้ และตอนนี้สับปะรดที่ปลูกเริ่มเจริญเติบโต คาดว่าพร้อมจะเก็บเกี่ยวได้ในอีก 1 เดือนข้างหน้า



          ส่วนใหญ่มีการปลูกสายพันธุ์ปัตตาเวีย เพื่อส่งขายให้กับโรงงานรับซื้อ ซึ่งในปีนี้ราคาก็ไม่ได้สูงมากนัก เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 4 - 4.50 บาท  และยังไม่รู้ว่าจะลดลงอีกหรือไม่   หากจะให้เกษตรกรอยู่ได้จริงก็จะต้องรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 6 บาทขึ้นไป  เพราะช่วงนี้ต้นทุนทุกอย่างขึ้นราคาทั้งหมดเกือบเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยาบำรุงต่างๆ  ผู้ปลูกแทบจะไม่ได้อะไรเลย แต่ก็ต้องอดทนทำต่อไปเพราะเป็นอาชีพ  หากขายไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้เน่าตายคาสวน






          นายจง กล่าวว่า  ตนเองต้องปรับตัวอย่างมาก ด้วยการหาสายพันธุ์อื่นมาปลูกเสริม เนื่องจากพันธุ์ปัตตาเวียขายผลสดยากเพราะมีรสชาติเปรี้ยว เหมาะกับส่งโรงงานมากกว่า หากจะนำไปขายจะต้องคัดเกรดที่เป็นน้ำผึ้งเท่านั้นรสชาติถึงจะดี  ตนจึงได้ซื้อสายพันธุ์ตราดสีทองมาปลูก ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับภูแล แต่ผลจะใหญ่กว่าเล็กน้อย โตเต็มที่จะมีน้ำหนักที่ลูกละ 1.2 กิโลกรัม รสชาติจะหวานกรอบ  ซึ่งขายได้ราคาดี  นอกจากนั้นยังมีพันธุ์เพชรบุรี ที่แม้จะมีความเปรี้ยวแต่ไม่มากเท่าปัตตาเวีย  จะมีรสชาติอร่อยกว่า หลังจากเริ่มขยายพันธุ์และลองนำไปวางขาย ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี จึงได้ปลูกมาเรื่อยๆ




          เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ยังได้กล่าวว่า อยากให้รัฐบาล  จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ หลักๆก็คือเรื่องพยุงราคาปุ๋ย และยาต่างๆ เพราะเป็นต้นทุนหลักในการปลูกสับปะรด  ช่วยลดต้นทุนในการปลูกลงไปได้บ้างก็ยังดี  เพราะหลังจากประสบปัญหาโควิด-19 มาหลายปี ขายผลผลิตได้ไม่ดีแล้ว ต้องมาแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ  ขอให้เห็นใจเกษตรกรด้วย   

 

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์