จากที่
อบจ.ลำปางได้จัดโครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน เพื่อแปรสภาพเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ไปเมื่อวันที่ 21 พ.ค.65
ซึ่งยังมีชาวบ้านแสดงความคิดเห็นเป็นห่วงในหลายๆเรื่องด้วยกัน
โดยนายบุญสม ชมพูมิ่ง ชาวบ้านที่เคยเคลื่อนไหว ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะฯของ อบจ.ลำปาง ได้แสดงความคิดเห็นว่า หากมีการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ สิ่งที่ชาวบ้านควรจะได้รับก็คืองบประมาณที่จะเข้ามาดูแลในพื้นที่ ในรูปแบบของกองทุนต่างๆ แต่ทุกวันนี้งบประมาณได้เข้าไปอยู่ใน อบจ. ซึ่งมีข้อกำหนดในการใช้จ่าย ไม่สามารถให้ชาวบ้านนำมาใช้จ่ายได้ ถ้าเป็นไปได้อยาก อบจ.แก้ไขกฎระเบียบการให้เงินก้อนนี้ที่มาจากโรงกำจัดขยะ และในอนาคตอาจจะมีเงินรอบโรงไฟฟ้าขยะอีก ลงเข้าสู่พื้นที่ให้กับชาวบ้านอย่างแท้จริง
นอกจากนั้นชาวบ้านยังคงกังวลเรื่องการขนย้ายขยะเข้ามาในพื้นที่ เพราะอาจจะต้องมีปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม การดำเนินการจัดการขยะ สุขอนามัยต่างๆ อีกด้วย
ด้าน
นายจำลักษ์ กันเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง
กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่จัดขึ้นครั้งแรก
จากเดิมที่ อบจ.มีการบริหารจัดการขยะโดยใช้วิธีคัดแยก
เพื่อนำส่งที่ใช้ได้ไปรีไซเคิล เป็นระบบเก่าไม่สามารถรองรับปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นได้
ซึ่งศูนย์จัดการขยะฯ ของ
อบจ.ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 ใช้งานมาแล้วกว่า 5 ปี มีบ่อฝังกลบ 2 บ่อ มีข้อจำกัดการรองรับขยะได้อีกประมาณ
1 ปี ถ้าจะสร้างบ่อฝังกลบใหม่ ต้องใช้งบประมาณกว่า 32.5 ล้านบาท ประกอบกับเครื่องจักรกลและระบบอื่นๆ
ก็หมดอายุการใช้งาน หากเปลี่ยนชุดเครื่องจักรก็ต้องใช้เงินอีกกว่า 31 ล้านบาท รวมเป็น 63 ล้านบาทเศษ
ทาง อบจ.จึงมีแนวคิดที่จะต้องปรับวิธีแก้ปัญหาขยะล้นเมือง
คือ การฝัง และการเผา
การฝังจะมีปัญหายาวนานและใช้งบลงทุนเยอะ
เพราะฉะนั้นนวัตกรรมใหม่ที่ทำได้ก็คือการเผา แต่ถ้าเผาทิ้งไปเปล่าๆก็ไม่มีประโยชน์
จึงใช้วิธีเผาแล้วนำผลพลอยได้จากความร้อนมาผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นโครงการที่ได้ริเริ่มพูดคุยกันมาตั้งแต่ปี
2560 โดยใช้สถาบันนครพิงค์ ของ ม.เชียงใหม่ มาทำการศึกษาวิจัย จึงเข้าสู่ขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อนำข้อกังวลและข้อเสนอแนะของประชาชนไปแก้ไขปัญหา
เพื่อกำหนดเป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป
รองผู้ว่าฯ
กล่าวอีกว่า สำหรับปริมาณขยะของ จ.ลำปาง คำนวณได้ประมาณ 600 กว่าตัน ซึ่งปริมาณที่จะใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าก็ใกล้เคียงกัน แต่กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ ต้องใช้เวลา 3-4
ปีจึงจะเดินเครื่องได้ ขณะนั้นปริมาณขยะอาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งคิดว่าไม่กระทบต่อการผลิตไฟฟ้า
ในเรื่องที่เคยมีชาวบ้านออกมาต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าขยะนั้น ตนคิดว่าเมื่อก่อนโรงไฟฟ้าขยะยังใช้เทคโนโลยีเก่าๆ
ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจ แต่สมัยนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะแล้ว
มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามามากมาย มีหลายจังหวัดที่เริ่มดำเนินการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาบริหารจัดการขยะ
เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น สมุทรปราการ ซึ่งโรงงานขยะตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนหมดเลย เป็นระบบปิดไม่มีผลกระทบต่อประชาชน อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณขยะในพื้นที่ลงได้
ลดแมลงวัน ลดปัญหาน้ำเน่า ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ทางจังหวัด
และอบจ.ได้เข้าไปศึกษาดูแลและเตรียมความพร้อมไว้
ที่สำคัญคือการชี้แจงกับพี่น้องประชาชน
เราจะต้องสร้างความรับรู้และความเข้าใจ ว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะเป็นเรื่องที่ดีกว่าเดิม
ไม่เช่นนั้นเราไม่เอามาทำอยู่แล้ว ถ้าไม่ทำตอนนี้ในอนาคตปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบ
และเกิดขยะล้นเมืองอย่างแน่นอน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น