ราชกิจจาฯ
ประกาศผ่อนคลายการสวมหน้ากากอนามัยทั่วราชอาณาจักรให้เป็นโดยความสมัครใจ
สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ให้เปิดบริการได้
ร้านอาหารเปิดขายสุราดื่มในร้านได้ เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวได้ทั่วราชอาณาจักร
มีผลทันที
วันนี้(23 มิ.ย.65)
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ข้อกําหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๔๖)
ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่
๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป
อย่างต่อเนื่องเป็นระยะ นั้น
โดยที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ปัจจุบันได้คลี่คลาย
และมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น จากการดําเนินมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องส่งผลให้
จํานวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวลดลงเป็นลําดับ
จนสามารถผ่อนปรนบรรดามาตรการและข้อจํากัดต่าง ๆ
ให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถดํารงชีวิตและดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล
สังคมได้ใกล้เคียงกับปกติ
รวมไปถึงการผ่อนคลายข้อจํากัดเรื่องการเดินทาง
โดยเฉพาะการเดินทางระหว่างประเทศจากเดิมที่เคยกําหนดเป็นมาตรการสกัดกั้นเชื้อโรคอย่างเร่งด่วน
โดยปรับให้สอดคล้องกับนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาล เพื่อรับผู้เดินทางจากทั่วโลก
การดําเนินการตามแผนและมาตรการจัดการด้านสาธารณสุขทั้งหลายนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมการเปลี่ยนผ่านสู่ระยะ
Post-Pandemic
ที่จะประกาศให้เป็นโรคติดต่อทั่วไป
ในการนี้
รัฐบาลโดยข้อเสนอของฝ่ายสาธารณสุขจึงเห็นสมควรพิจารณาปรับลดระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร
ผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันโรค ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่กับการคงดําเนิน
มาตรการที่จําเป็นสําหรับป้องกันและควบคุมโรค
รวมทั้งเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังโรคต่อไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อควบคุมการระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายตามคําแนะนําของศูนย์บริหาร
\สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค) ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
การปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์และยกเลิกการกําหนดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยว
ให้ ศบค. มีคําสั่งปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดจําแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเป็นไปตามแผนการเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟู
เศรษฐกิจของรัฐบาล
โดยให้นํามาตรการควบคุมแบบบูรณาการที่กําหนดไว้สําหรับพื้นที่สถานการณ์ระดับต่าง ๆ
ข้อห้าม ข้อยกเว้น
และข้อปฏิบัติที่ได้ประกาศไว้แล้วก่อนหน้านี้มาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัด
หรือแย้งกับข้อกําหนดนี้
ให้ยกเลิกการกําหนดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวตามคําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ที่ ๑๐/๒๕๖๕ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กําหนด
เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๐
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ และข้อกําหนดที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้
ข้อ ๒ การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรค
ให้บรรดามาตรการควบคุม แบบบูรณาการ ข้อห้าม ข้อยกเว้น และข้อปฏิบัติสําหรับพื้นที่สถานการณ์ระดับต่าง
ๆ รวมทั้ง มาตรการเตรียมความพร้อมตามข้อกําหนด (ฉบับที่ ๓๗) ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อกําหนด (ฉบับที่ ๔๔) ลงวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕
เฉพาะการปรับปรุงมาตรการควบคุม
แบบบูรณาการและการปรับปรุงการกําหนดผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และข้อกําหนด
(ฉบับที่ ๔๕) ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
เฉพาะมาตรการควบคุมและป้องกันโรคสําหรับสถานบริการ
หรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคทั่วราชอาณาจักร รวมถึงบรรดามาตรการ หลักเกณฑ์
หรือแนวปฏิบัติ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบกําหนดขึ้นภายใต้ข้อกําหนดดังกล่าว
ยังคงมีผลใช้บังคับ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดนี้
ข้อ ๓ การผ่อนคลายข้อปฏิบัติในการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทั่วราชอาณาจักร
เพื่อให้ประชาชนสามารถดําเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับสภาวะปกติยิ่งขึ้น จึงสมควรผ่อนคลายข้อจํากัด ในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า
โดยยกเลิกความในข้อ ๑ แห่งข้อกําหนดออกตาม ความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๘ (ฉบับที่ ๒๔)
ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๔
การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าให้เป็นการปฏิบัติโดยความสมัครใจ โดยขอให้ประชาชนพิจารณาประโยชน์ตามข้อมูลที่ฝ่ายสาธารณสุขรายงานว่า
การสวมหน้ากากอย่างถูกวิธี
เป็นประโยชน์ด้านสุขอนามัยในการป้องกันการแพร่เชื้อและการรับเชื้อ
ทั้งเชื้อโรคโควิดและโรคติดเชื้อ ทางระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ
รวมทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย)
จึงมีข้อแนะนําให้ประชาชนทั่วไปสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับ
บุคคลอื่นในสถานที่หรือในพื้นที่แออัด มีการรวมกลุ่มคนจํานวนมาก
ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ หรืออากาศระบายถ่ายเทไม่ดีเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อหรือรับเชื้อ
กรณีเป็นผู้เข้าข่ายเสี่ยงที่เมื่อติดเชื้อโควิด - 19 จะมีอาการรุนแรงหรือความเสี่ยงสูงต่อการ เสียชีวิต (กลุ่ม ๖๐๔)
หรือผู้ที่มีโรคประจําตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจควรสวมหน้ากากอนามัย
อย่างถูกวิธีตลอดเวลาเมื่อต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นเพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ
และกรณีเป็นผู้ติดเชื้อ โควิด - 19 หรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากเชื้อโควิด
- 19 จําเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี
ตลอดเวลาเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่นเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่โรค
ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งชี้แจง
ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้
ความเข้าใจให้ประชาชนทุกภาคส่วนทราบถึงแนวการปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
สอดคล้องกับ มาตรการสังคม ชุมชน และองค์กร เปลี่ยนผ่านสู่ระยะ Post-Pandemic
เฝ้าระวังและกํากับติดตาม สถานการณ์
รวมทั้งจัดทําแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ข้อ ๔ การผ่อนคลายมาตรการสําหรับการเคลื่อนย้ายและการเดินทางของแรงงานต่างด้าว
ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้การดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ใกล้เคียงกับสภาวะปกติมากยิ่งขึ้น
ให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร
หรือผู้ว่าราชการจังหวัดโดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แล้วแต่กรณี
พิจารณาผ่อนคลายมาตรการเกี่ยวกับการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว
ตามความในข้อ ๘ แห่งข้อกําหนด (ฉบับที่ ๒๔) ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยให้การเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเพื่อการทํางาน
ข้ามเขตจังหวัด
และการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเพื่อการทํางานภายในเขตจังหวัด สามารถ
ดําเนินการภายใต้กฎหมาย กฎ
หรือระเบียบที่กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดําเนินการได้ตามปกติ
ข้อ ๕ แนวปฏิบัติสําหรับการถ่ายทํารายการโทรทัศน์
ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ให้สํานักงาน
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
(สํานักงาน กสทช.) ปรับปรุงแนวปฏิบัติการถ่ายทํารายการโทรทัศน์
ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เพื่อรองรับกับมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ ที่ได้ประกาศไว้
โดยให้ดําเนินการสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ ศบค. ได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว
ข้อ ๖ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมแบบบูรณาการในพื้นที่เฝ้าระวัง
ให้พื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง
ดําเนินการตามมาตรการควบคุมแบบบูรณาการเพื่อการเปิดสถานที่ กิจการ หรือ กิจกรรมในพื้นที่สถานการณ์ที่จําแนกเป็นเขตพื้นที่เฝ้าระวัง
ตามที่ได้กําหนดไว้ในข้อ ๓ แห่งข้อกําหนด (ฉบับที่ ๔๔) ลงวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.
๒๕๖๕ และข้อ ๓ แห่งข้อกําหนด (ฉบับที่ ๔๕) ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยให้ปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ดังนี้
(๑) ร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม
สามารถเปิดให้บริการจําหน่ายและการบริโภคสุราหรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ โดยต้องดําเนินการภายใต้กฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่กําหนด
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดําเนินการไว้ และต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค
เงื่อนไขการจัดระเบียบ และระบบต่าง ๆ และคําแนะนําของทางราชการ
(๒) สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ
สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน
สามารถเปิดให้บริการได้ โดยต้องดําเนินการภายใต้ กฎหมาย
กฎ หรือระเบียบที่กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดําเนินการไว้ และต้องปฏิบัติตาม
มาตรการป้องกันโรค เงื่อนไขการจัดระเบียบ และระบบต่าง ๆ และคําแนะนําของทางราชการ
ข้อ ๗
มาตรการเฝ้าระวังเพื่อการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคในพื้นที่เฝ้าระวัง
การจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลจํานวนมากให้สามารถทําได้ตามความเหมาะสมโดยให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้
กรณีการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลจํานวนรวมกันมากกว่าสองพันคนให้ผู้รับผิดชอบแจ้งการจัดกิจกรรมต่อคณะกรรมการ
โรคติดต่อกรุงเทพมหานคร หรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แล้วแต่กรณี
เพื่อเป็นมาตรการเฝ้าระวัง
และกํากับติดตามมิให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดแบบเป็นกลุ่มก้อน (Cluster)
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น