เมื่อวันที่
28 ก.ย.65
ศาลจังหวัดลำปางได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีนางวันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง
หรือชื่อเดิม นางแสงเดือน ตินยอด อายุ 55 ปี ชาวบ้านแม่กวัก ม.1 ต.บ้านอ้อน อ.งาว จ.ลำปาง
ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และมีอาวุธไว้ในครอบครอง ศาลพิพากษา
สั่งจำคุก 1 ปี
รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 5 หมื่นบาท ทำกิจกรรมบริการสังคม ทุก 3 เดือนต่อครั้ง
เป็นเวลา 1 ปี หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ
ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 4 แสนบาทพร้อมดอกเบี้ย
การพิพากษาของศาลฎีกาครั้งนี้ ได้แก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 8
กันยายน 2563 ซึ่งเดิมได้ตัดสินให้
นางวันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง หรือ นางแสงเดือน
ตินยอด จำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ปรับ 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5
เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2561
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.lannapost.net/2020/09/1-4.html
โดยมีกลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ
(สกน.) นำโดยนายสมชาติ รักษ์สองพลู
และชาวบ้านไปเป็นกำลังใจและรอฟังคำพิพากษาอยู่ด้านหน้าศาลจังหวัดลำปาง พร้อมทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับนางวันหนึ่ง
หรือแสงเดือน และอ่านแถลงการณ์เรื่อง “ทวงคืนความเป็นธรรม ทวงคืนความเป็นคน ทวงคืนที่ดินและผืนป่าสู่มือประชาชน”
โดยระบุว่า
ภาพที่เห็นวันนี้ แสงเดือน ตินยอด หรือ วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง ชาวบ้านแม่กวัก
อำเภองาว จังหวัดลำปาง
เป็นเพียงหญิงเกษตรกรคนหนึ่งที่ต้องเป็นเหยื่อเซ่นสังเวยนโยบายอันแสนป่าเถื่อน
ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่เธอต้องทุกข์ทนจากการถูกเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช บังคับให้ตัดฟันต้นยางพาราของตนเอง และเป็นเวลากว่า 4 ปี
หลังเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเธอในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
แม้จะปรากฏหลักฐานในระหว่างการต่อสู้ภายหลังว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์
แต่กระบวนการยุติธรรมไทยก็มิได้ให้ความยุติธรรมแก่เธอ
กลับยิ่งซ้ำเติมทำให้กระบวนการแย่งยึดที่ดินของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และรัฐบาลเผด็จการทหารนั้นเสร็จสมบูรณ์
“แม้ในวันนี้ศาลฎีกาจะมีคำสั่งรอลงอาญา แต่ครอบครัวที่แตกแยก
ที่ดินบรรพบุรุษที่สูญเสีย หนี้สินที่ทบทวี ลูกที่ต้องกระเด็นออกจากระบบการศึกษา
และอาการซึมเศร้า ล้วนคือวิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
และยังไร้หน่วยไหนเยียวยา”
ลานนาโพสต์ เคยพูดคุยกับ นางวันหนึ่ง เมื่อ 2 ปีก่อนครั้งที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้เธอจำคุกโดยไม่รอลงอาญา นางวันหนึ่ง ได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า หลังถูกฟ้องร้อง
ตนเองต้องต่อสู้เพียงลำพัง ครอบครัวแตกแยก ต้องเลิกรากับอดีตสามี มีลูก 2 คนคนเล็กเรียนจบแค่ ม.3 ต้องไปทำงานหาเลี้ยงตัวเอง
เพราะไม่มีเงินส่งลูกเรียน ด้วยความหวังว่าจะปลูกยางพาราหารายได้มาจุนเจือครอบครัว
และส่งลูกเรียนหนังสือ ก็ล่มสลายไปหมด
ตอนนี้ต้องไปอาศัยอยู่กับพี่สาวต่างจังหวัด และรับจ้างดูแลผู้สูงอายุป่วยติดเตียงที่
ได้รายได้เดือนละ 4,000 บาทเท่านั้น ต้องต่อสู้คดีในศาล ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง
ที่ดินทำกินก็ไม่มีถูกยึดไปทั้งหมด
“อยากวิงวอนขอความเห็นใจกับตนเองด้วย
เพราะตนเองเกิดบนผืนแผ่นดินไทย พ่อแม่ก็เกิดแผ่นดินไทย ตายก็เผาที่แผ่นดินไทย
แต่ตนถูกกระทำเหมือนเป็นคนต่างด้าวต่างชาติที่แอบลักลอบมาหากินในพื้นที่”
หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษา
นางวันหนึ่งได้ประกันตัวออกมา และได้ยื่นต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา
กระทั่งมีคำพิพากษาออกมาดังกล่าว และถือว่าคดีถึงที่สุด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น