วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566

เราจะแข็งแรงไปด้วยกันกับ“วันโยคะสากล” ครั้งที่ 9

  


ถึงจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการมาสักระยะแล้ว แต่อากาศยังไม่นิ่งมีสลับร้อนสลับฝนทุกวัน ถ้าร่างกายไม่พร้อมอาจเจ็บป่วยไม่สบายได้ง่าย ซึ่งการเตรียมความพร้อมให้ตัวเองนั้นก็ทำได้ไม่ยาก การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่ง นอกเหนือไปจาการเลือกรับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ และการพักผ่อนอย่างพอเพียง

 

พอเหมาะพอเจาะกับที่ “สถานกงสุลอินเดียประจำจังหวัดเชียงใหม่” ร่วมกับ “สมาคมท่องเที่ยวจังหวัดลำพูน” “บริษัทเดวี วาเคชั่น จำกัด”  และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง กำลังจะจัดกิจกรรม “วันโยคะสากล” ครั้งที่ 9 ขึ้นในวันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน 2566 ณ บริเวณศูนย์สินค้าโอทอปเวียงยอง อ.เมือง จ.ลำพูน โดยนำผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะ จากอินเดีย มานำฝึกให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรม....

 

สัปดาห์นี้จึงใคร่ขอหยิบยกถึงบทความเกี่ยวกับ “โยคะ” ขึ้นมาบอกกล่าวสักเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นเกร็ดความรู้ให้แก่ผู้อ่าน

 

เชื่อว่าน้อยคนจะไม่รู้จัก “โยคะ” ในทางกลับกันหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า “โยคะ” เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดียเมื่อประมาณ 4 – 5 พันปีก่อน ที่สำคัญถูกสงวนไว้เฉพาะโยคี และชนชั้นวรรณะพราหมณ์ เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ....ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาผ่านลัทธิฮินดู พุทธศาสนา ลัทธิเซนในประเทศจีน โดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้นๆ

 


โยคะ (YOGA) หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว การฝึกโยคะเป็นกระบวนการสำหรับฝึกกาย ฝึกการหายใจ และฝึกจิตให้มีความจดจ่อกับเรื่องลมหายใจเข้าออก อันจะนำไปสู่การมีสมาธิที่ดีขึ้น ในแง่ปฏิบัติต้องรวมสามอย่างเข้าด้วยกัน คือ การเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ การประสานลมหายใจเข้าออกกับการเคลื่อนไหว และมีจิตสงบนิ่งในขณะที่เคลื่อนไหว

 

และเช่นเดียวกัน หลายคนอาจมีคำถามว่า ระหว่าง “โยคะ” กับ “การออกกำลังกายทั่วไป” นั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร???

 

จุดเด่นของ “โยคะ”  เน้นที่ความนิ่ง และท่าของร่างกายที่นิ่ง, เป็นสภาวะแบบรับ (Passive) ความตึงของกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ ผ่อนคลาย, เน้นการเหยียดกล้ามเนื้อและการประสานของระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ, ใช้ความรู้สึกภายในเป็นตัวนำท่าทาง, เน้นส่งเสริมการทำงานของอวัยวะภายในและบริเวณแขน ขา, พิจารณาตัวผู้เล่นเป็นองค์รวม จึงช่วยรักษาสมดุลของทั้งร่างกายแบบเฉพาะบุคคล, กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่รับผิดชอบด้านการผ่อนคลาย, ใช้แรงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่มีการฝืน, ลดการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้งห้าและที่สำคัญเป็นกิจกรรมที่ใช้ ความรู้สึกเป็นตัวนำ ให้ความสำคัญที่จิตใจเป็นหลัก

 

ส่วนจุดเด่นของ “การออกกำลังกาย”  มีการเคลื่อนไหวมีการใช้แรง, เป็นสภาวะการทำซ้ำๆ (Active) กล้ามเนื้อตึง เกร็งอยู่ตลอดเวลา, เป็นการเกร็งกล้ามเนื้อ เพื่อพัฒนาระบบกล้ามเนื้อโดยตรงใช้การรับรู้ต่อสภาวะภายนอกเป็นตัวนำ, เน้นพัฒนากล้ามเนื้อกลุ่มหลักของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณ แขน ขา, เน้นความเชี่ยวชาญหรือความชำนาญในการเล่นกีฬานั้นๆ เพื่อความสนุกหรือไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่รับผิดชอบด้านการตื่นตัว

 

ทีนี้เรามาว่ากันถึงข้อดีที่ควรเล่น “โยคะ” กันบ้าง

 

อันดับแรก “โยคะ” จะช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลางมีความแข็งแรงซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการตึงคอบ่าไหล่ เนื่องจากการที่นั่งผิดท่าในระยะเวลานาน จนกระทั่งเกิดการกดทับกระดูกสันหลัง ซึ่งโยคะมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ ขณะเดียวกันยังสามารถคลายความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะท่าต่างๆ ขณะที่เราเคลื่อนไหวหรือยืดตัวนั้น จะทำให้เรามีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อโคนขาทางด้านหลัง หลัง ไหล่ และสะโพก นอกจากนี้ “โยคะ” ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเดินและบุคลิกภาพที่ดี เนื่องจากการทำท่าต่างๆ พร้อมกับควบคุมลมหายใจจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและพัฒนาสมดุลร่างกายที่ดีขึ้นเป็นหนึ่งในประโยชน์สำคัญที่ได้จากโยคะ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น

 


ที่สำคัญ “โยคะ” ช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่มักจะหลั่งออกมาเมื่อเราเกิดความเครียด โดยเคสการศึกษาพบว่าการฝึกโยคะสัปดาห์ละ 1 ครั้งเป็นเวลา 2 ปียังลดสารที่ทำให้เกิดการอักเสบได้ถึง 41% อีกหนึ่งข้อดีของ “โยคะ” ช่วยคลายความกังวล และช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศในร่างกาย ช่วยทำให้ผู้ฝึกบางรายที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ทางเพศมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี ทำหน้าที่ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียด ลดอาการกระวนกระวายใจ ช่วยให้หลับง่ายขึ้น จึงสร้างสมดุลการพักผ่อนอย่างแท้จริง สุดท้ายสามารถช่วยให้เราดูอ่อนเยาว์ กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายมีการผลิตโกรทฮอร์โมน และฮอร์โมนดีเอชอีเอ ออกมา ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ มีพลัง กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา

 

ทราบข้อดีไปแล้ว คราวนี้มาถึง “ข้อควรระวัง” ในการเล่นโยคะกันบ้าง

 

สิ่งแรก “ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ” เช่น โรคความดัน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน คนที่ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์ หรือครูฝึกที่ได้รับการอบรมก่อนการฝึก เพราะในท่าแต่ละท่าจะมีบางจุดที่อาจเป็นอันตรายกับโรคบางโรคได้ เช่น คนที่มีปัญหาที่คอจะไม่สามารถทำท่าที่บิดคอมากๆ ได้ คนที่มีความดันโลหิตสูงและหรือต่ำไม่ควรทำท่าก้มศีรษะมากเกินไป “ควรฝึกในห้องโล่ง” ไม่มีเสียงรบกวน ไม่ควรฝึกหลังอาหารทันที ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการจุก และ “หลังจากฝึก” ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จึงจะรับประทานอาหารมื้อหนักได้ และถ้าเป็นไปได้ควรขับถ่ายก่อน และ “เลือกเสื้อผ้าสวมใส่สบายพอดีตัว” ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป

 


นอกจากนี้ “ผู้ฝึกใหม่”  ในตอนแรกไม่ต้องกังวลกับการหายใจ ให้ฝึกท่าก่อน การหายใจแบบโยคะจะไม่เหมือนการหายใจแบบปกติ คนฝึกใหม่หลายๆ คนอาจไม่ชินและเป็นกังวลมากไป และเริ่มจากท่าง่ายไปท่ายาก อย่าก้าวกระโดด ห้ามฝืนร่างกายตัวเอง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอาการบาดเจ็บได้ อย่าเกร็ง อย่ารีบร้อน หัวใจสำคัญในการฝึกโยคะคือการทำให้ร่างกายผ่อนคลายที่สุด

 

 

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “วันโยคะสากล” ครั้งที่ 9 สามารถลงทะเบียนร่วมงาน ผ่านระบบ QR Code หรือกรอก Google form :

https://forms.gle/Top7nUAhoaqu531n6  ย้ำว่ากิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นที่ศูนย์สินค้าโอทอปเวียงยอง และจำกัดจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมเพียง 50 ท่านเท่านั้น ...กระซิบเบาๆ เขาแจกเสื้อที่ระลึก 1 ตัวฟรี!!!

 

กอบแก้ว แผนสท้าน...เรื่อง

 

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์