ถึงจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการมาสักระยะแล้ว
แต่อากาศยังไม่นิ่งมีสลับร้อนสลับฝนทุกวัน ถ้าร่างกายไม่พร้อมอาจเจ็บป่วยไม่สบายได้ง่าย
ซึ่งการเตรียมความพร้อมให้ตัวเองนั้นก็ทำได้ไม่ยาก การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่ง
นอกเหนือไปจาการเลือกรับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ และการพักผ่อนอย่างพอเพียง
พอเหมาะพอเจาะกับที่
“สถานกงสุลอินเดียประจำจังหวัดเชียงใหม่” ร่วมกับ “สมาคมท่องเที่ยวจังหวัดลำพูน” “บริษัทเดวี
วาเคชั่น จำกัด” และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง กำลังจะจัดกิจกรรม
“วันโยคะสากล” ครั้งที่ 9 ขึ้นในวันเสาร์ที่
24 มิถุนายน 2566 ณ บริเวณศูนย์สินค้าโอทอปเวียงยอง
อ.เมือง จ.ลำพูน โดยนำผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะ จากอินเดีย มานำฝึกให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรม....
สัปดาห์นี้จึงใคร่ขอหยิบยกถึงบทความเกี่ยวกับ
“โยคะ” ขึ้นมาบอกกล่าวสักเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นเกร็ดความรู้ให้แก่ผู้อ่าน
เชื่อว่าน้อยคนจะไม่รู้จัก
“โยคะ” ในทางกลับกันหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า “โยคะ” เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดียเมื่อประมาณ
4 – 5 พันปีก่อน ที่สำคัญถูกสงวนไว้เฉพาะโยคี และชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ....ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาผ่านลัทธิฮินดู
พุทธศาสนา ลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้นๆ
โยคะ (YOGA) หมายถึง
การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว
การฝึกโยคะเป็นกระบวนการสำหรับฝึกกาย ฝึกการหายใจ
และฝึกจิตให้มีความจดจ่อกับเรื่องลมหายใจเข้าออก อันจะนำไปสู่การมีสมาธิที่ดีขึ้น
ในแง่ปฏิบัติต้องรวมสามอย่างเข้าด้วยกัน คือ การเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ
การประสานลมหายใจเข้าออกกับการเคลื่อนไหว และมีจิตสงบนิ่งในขณะที่เคลื่อนไหว
และเช่นเดียวกัน หลายคนอาจมีคำถามว่า ระหว่าง
“โยคะ” กับ “การออกกำลังกายทั่วไป” นั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร???
จุดเด่นของ
“โยคะ” เน้นที่ความนิ่ง และท่าของร่างกายที่นิ่ง,
เป็นสภาวะแบบรับ (Passive)
ความตึงของกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ ผ่อนคลาย,
เน้นการเหยียดกล้ามเนื้อและการประสานของระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ,
ใช้ความรู้สึกภายในเป็นตัวนำท่าทาง,
เน้นส่งเสริมการทำงานของอวัยวะภายในและบริเวณแขน ขา, พิจารณาตัวผู้เล่นเป็นองค์รวม
จึงช่วยรักษาสมดุลของทั้งร่างกายแบบเฉพาะบุคคล,
กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่รับผิดชอบด้านการผ่อนคลาย,
ใช้แรงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่มีการฝืน,
ลดการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้งห้าและที่สำคัญเป็นกิจกรรมที่ใช้ “ความรู้สึก” เป็นตัวนำ ให้ความสำคัญที่จิตใจเป็นหลัก
ส่วนจุดเด่นของ
“การออกกำลังกาย”
มีการเคลื่อนไหวมีการใช้แรง, เป็นสภาวะการทำซ้ำๆ (Active) กล้ามเนื้อตึง เกร็งอยู่ตลอดเวลา, เป็นการเกร็งกล้ามเนื้อ
เพื่อพัฒนาระบบกล้ามเนื้อโดยตรงใช้การรับรู้ต่อสภาวะภายนอกเป็นตัวนำ,
เน้นพัฒนากล้ามเนื้อกลุ่มหลักของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณ แขน ขา,
เน้นความเชี่ยวชาญหรือความชำนาญในการเล่นกีฬานั้นๆ
เพื่อความสนุกหรือไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่รับผิดชอบด้านการตื่นตัว
ทีนี้เรามาว่ากันถึงข้อดีที่ควรเล่น
“โยคะ” กันบ้าง
อันดับแรก “โยคะ” จะช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลางมีความแข็งแรงซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการตึงคอบ่าไหล่
เนื่องจากการที่นั่งผิดท่าในระยะเวลานาน จนกระทั่งเกิดการกดทับกระดูกสันหลัง
ซึ่งโยคะมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ ขณะเดียวกันยังสามารถคลายความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะท่าต่างๆ ขณะที่เราเคลื่อนไหวหรือยืดตัวนั้น
จะทำให้เรามีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อโคนขาทางด้านหลัง หลัง ไหล่ และสะโพก
นอกจากนี้ “โยคะ” ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเดินและบุคลิกภาพที่ดี
เนื่องจากการทำท่าต่างๆ พร้อมกับควบคุมลมหายใจจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและพัฒนาสมดุลร่างกายที่ดีขึ้นเป็นหนึ่งในประโยชน์สำคัญที่ได้จากโยคะ
โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น
ที่สำคัญ “โยคะ” ช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล
ที่มักจะหลั่งออกมาเมื่อเราเกิดความเครียด โดยเคสการศึกษาพบว่าการฝึกโยคะสัปดาห์ละ
1
ครั้งเป็นเวลา 2 ปียังลดสารที่ทำให้เกิดการอักเสบได้ถึง
41% อีกหนึ่งข้อดีของ “โยคะ” ช่วยคลายความกังวล
และช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศในร่างกาย ช่วยทำให้ผู้ฝึกบางรายที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ทางเพศมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี
ทำหน้าที่ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียด ลดอาการกระวนกระวายใจ
ช่วยให้หลับง่ายขึ้น จึงสร้างสมดุลการพักผ่อนอย่างแท้จริง สุดท้ายสามารถช่วยให้เราดูอ่อนเยาว์ กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
เนื่องจากช่วยให้ร่างกายมีการผลิตโกรทฮอร์โมน และฮอร์โมนดีเอชอีเอ ออกมา
ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ มีพลัง
กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา
ทราบข้อดีไปแล้ว คราวนี้มาถึง “ข้อควรระวัง” ในการเล่นโยคะกันบ้าง
สิ่งแรก “ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ” เช่น
โรคความดัน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน คนที่ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์
หรือครูฝึกที่ได้รับการอบรมก่อนการฝึก
เพราะในท่าแต่ละท่าจะมีบางจุดที่อาจเป็นอันตรายกับโรคบางโรคได้ เช่น
คนที่มีปัญหาที่คอจะไม่สามารถทำท่าที่บิดคอมากๆ ได้
คนที่มีความดันโลหิตสูงและหรือต่ำไม่ควรทำท่าก้มศีรษะมากเกินไป “ควรฝึกในห้องโล่ง”
ไม่มีเสียงรบกวน ไม่ควรฝึกหลังอาหารทันที
ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการจุก
และ “หลังจากฝึก” ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
จึงจะรับประทานอาหารมื้อหนักได้ และถ้าเป็นไปได้ควรขับถ่ายก่อน และ “เลือกเสื้อผ้าสวมใส่สบายพอดีตัว”
ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป
นอกจากนี้ “ผู้ฝึกใหม่” ในตอนแรกไม่ต้องกังวลกับการหายใจ ให้ฝึกท่าก่อน
การหายใจแบบโยคะจะไม่เหมือนการหายใจแบบปกติ คนฝึกใหม่หลายๆ
คนอาจไม่ชินและเป็นกังวลมากไป และเริ่มจากท่าง่ายไปท่ายาก อย่าก้าวกระโดด “ห้าม” ฝืนร่างกายตัวเอง
ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอาการบาดเจ็บได้ อย่าเกร็ง อย่ารีบร้อน
หัวใจสำคัญในการฝึกโยคะคือการทำให้ร่างกายผ่อนคลายที่สุด
สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม
“วันโยคะสากล” ครั้งที่ 9 สามารถลงทะเบียนร่วมงาน
ผ่านระบบ QR
Code หรือกรอก Google form :
https://forms.gle/Top7nUAhoaqu531n6 ย้ำว่ากิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นที่ศูนย์สินค้าโอทอปเวียงยอง
และจำกัดจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมเพียง 50 ท่านเท่านั้น ...กระซิบเบาๆ
เขาแจกเสื้อที่ระลึก 1 ตัวฟรี!!!
กอบแก้ว
แผนสท้าน...เรื่อง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น