โซลาร์ฟาร์มแม่เมาะ หนึ่งในแผนงานโครงการแม่เมาะเมืองน่าอยู่ หรือ Mae Moh Smart City ที่เตรียมก่อสร้างบนเนื้อที่ 490 ไร่ ภายในพื้นที่ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง โดยใช้งบประมาณจำนวน 1,300 ล้านบาท ขนาดกำลัง 38.50 เมกะวัตต์นำร่องพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการทำงานของเหมืองแม่เมาะ ซึ่งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้จัดเวทีการรับฟังความเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย การศึกษาและจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (CoP) และรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ESA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ได้เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
ทั้งนี้
จากเวทีการรับฟังความคิดเห็นฯ มีหลายประเด็นที่ชาวแม่เมาะในพื้นที่ได้ร่วมกันตั้งข้อสังเกต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับ อุณหภูมิในพื้นที่ที่อาจจะสูงขึ้น การขาดแคลนน้ำ
และการสูญเสียพื้นที่ป่า เป็นต้น
ลานนาโพสต์ได้มีโอกาสพูดคุยกับ
นางปิยะดา จริยภูมิ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการผลิตเหมืองแม่เมาะ-2 (ช.อผม-2.) ถึงประเด็นข้อสังเกตต่างๆ
ของประชาชน ซึ่งได้เล่าถึงที่มาของโครงการโซลาร์ฟาร์มแม่เมาะให้ฟังว่า เดิมที อ.แม่เมาะ ยังไม่เคยมีโครงการประเภทพลังงานหมุนเวียน
(Renewable Energy : RE) มาก่อน ที่ผ่านมา กฟผ. แม่เมาะ ใช้ถ่านหินลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
และในวันข้างหน้าปริมาณถ่านหินลิกไนต์ก็จะมีแต่ลดลง
ซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บทการทำเหมืองที่ได้วางแผนไว้ แล้วชุมชนจะเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ กฟผ. ได้ให้ความสำคัญและอยู่ระหว่างการวางแผนการศึกษาร่วมกัน
เมื่อติดตามสถานการณ์และทิศทางพลังงานโลกจะพบว่า
พลังงานหมุนเวียนมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับนโยบายของ กฟผ.
ที่ต้องการให้ชุมชนแม่เมาะอยู่ได้อย่างยั่งยืน แม้ว่าถ่านหินลิกไนต์จะไม่ถูกนำมาใช้แล้วก็ตาม
ทั้งนี้ พื้นที่ของ อ.แม่เมาะ ถือว่ามีศักยภาพสูง
เป็นพื้นที่ที่มีค่าความเข้มแสงที่เหมาะสมตลอดทั้งปี จึงเห็นว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์น่าจะเข้ามาทดแทนโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ได้ในอนาคต
และยังเป็นพลังงานที่ยั่งยืน ไม่ได้ใช้แล้วหมดไปเหมือนเชื้อเพลิงอื่นๆ เป็นพลังงานสะอาด
โครงการนี้จึงนับได้ว่าเป็นของขวัญที่ กฟผ. ได้มอบให้กับ อ.แม่เมาะ เป็นความมั่นคง สร้างรายได้ สร้างการจ้างงานลูกหลานของชาวแม่เมาะ
ไม่ต้องออกไปทำงานนอกพื้นที่
และยังเป็นโครงการนำร่องไปสู่โครงการด้านพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่ อ.แม่เมาะ มีศักยภาพ
ลานนาโพสต์ได้สรุปข้อสังเกตเป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้
¨ ประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากโซลาร์ฟาร์ม
โครงการนี้จะเป็นแหล่งจ้างงาน
โดยพิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่เป็นลำดับแรก ระหว่างก่อสร้างคาดว่าจะมีการจ้างแรงงานราว
100 คน และโครงการนี้จะไม่มีการตั้งแคมป์คนงานในพื้นที่
แรงงานบางส่วนที่เป็นแรงงานเฉพาะจากต่างพื้นที่จะเกิดการเช่าที่พักอาศัย มีการจับจ่ายใช้สอย
มีภาษีเงินได้เข้ามาในพื้นที่ จะทำให้เศรษฐกิจใน อ.แม่เมาะ หมุนเวียนและมีการใช้จ่ายเงินสะพัดมากขึ้น
เมื่อการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จพื้นที่ใต้แผงโซลาร์เซลล์
ยังได้ศึกษาการปลูกพืชสมุนไพร เป็นการสร้างรายได้เพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ยังมีการจ้างงานในส่วนของการบำรุงรักษาบริเวณ
การตัดหญ้า และการล้างทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์ด้วย รวมทั้ง จะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจในพื้นที่ใต้แผงโซลาร์เซลล์
เพื่อให้กลุ่มผู้เลี้ยงวัวสามารถรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อปรับรูปแบบการเลี้ยงสัตว์
ในอนาคตจะมีการผลักดันให้โครงการโซลาร์ฟาร์มแม่เมาะ
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ใน อ.แม่เมาะ ได้
เช่น อ่างเก็บน้ำห้วยเป็ด อ่างเก็บน้ำแม่เมาะ สวนพฤกษชาติ กฟผ. แม่เมาะ เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้น
ยังมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อพัฒนาด้านสาธารณสุข การศึกษา เศรษฐกิจชุมชน
สิ่งแวดล้อม สาธารณูปโภค พลังงานชุมชนและอื่นๆ
ซึ่งระหว่างก่อสร้างจะนำส่งเงินเข้ากองทุน 50,000 บาท/เมกะวัตต์/ปี ในปีแรกของการก่อสร้างจะส่งเงินนำเข้ากองทุนจำนวน 2,500,000
บาท ภายหลังจ่ายไฟเข้าระบบจะนำส่งเงินเข้ากองทุนปีละประมาณ 653,680
บาท
หลังจากการจัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็นแล้ว
ได้จัดทำรายการประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) และรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
และความปลอดภัย (Environment and Safety Assessment: ESA) สำหรับเป็นเอกสารประกอบขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
(กกพ.) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (รง.) โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ช่วงปลายปี 2566 และจะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ในเดือนมกราคม 2568
เพื่อใช้ประโยชน์ภายในการทำเหมืองแม่เมาะ
ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะช่วงเวลากลางวัน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายของรัฐด้วย
โครงการโซลาร์ฟาร์มแม่เมาะ
ได้รับใบอนุญาตทำประโยชน์ในเขตป่าจากกรมป่าไม้แล้ว
โดยพื้นที่นี้อยู่นอกพื้นที่โครงการเหมืองแร่ลิกไนต์แม่เมาะในรายงาน EIA และอยู่นอกพื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนฯ
ในรายงาน EIA เช่นกัน นอกจากนี้
ยังได้ทำหนังสือขอความเห็นและข้อเสนอแนะจากกรมโยธาธิการและผังเมือง
ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ
ไม่ขัดกับกฎกระทรวงแต่อย่างใด
“กฟผ.
แม่เมาะ มีใบอนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่ามาตั้งแต่ปี 2533 ก่อนจะใช้พื้นที่ได้เชิญเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาสำรวจพบว่าไม่มีไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่เป็นไม้กระถิน ไม้โตเร็ว และอนุญาตให้ กฟผ. ทำการเคลียร์พื้นที่เพื่อดำเนินโครงการได้
อย่างไรก็ตาม ยังเหลือพื้นที่โดยรอบโครงการที่ยังคงสภาพป่าอีกจำนวนมาก”
ในประเด็นนี้
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการผลิตเหมืองแม่เมาะ ได้กล่าวว่า มีจากผลการศึกษาวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับผลกระทบของโซลาร์ฟาร์ม
ในส่วนของประเทศไทยนั้นได้มีการศึกษาความผันแปรของจุลภูมิอากาศรอบโซลาร์ฟาร์ม ของมานิกา
แย้มสุข ปี 2561 ได้ศึกษาผลกระทบจากการทำโซลาร์ฟาร์มต่อสภาพแวดล้อมและผลผลิตจากการเกษตรรอบโซลาร์ฟาร์มที่ติดตั้งบริเวณแปลงนาข้าว
ขนาด 5.9 เมกกะวัตต์ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี โดยติดตั้งสถานีตรวจอากาศแบบอัตโนมัติในแปลงนาข้าวรอบโซลาร์ฟาร์มทั้ง
4 ด้าน จำนวน 9 จุด และติดตั้งในบริเวณโซลาร์ฟาร์มจำนวน
2 จุด รวมจำนวน 11 จุด บันทึกข้อมูลทุก
30 นาที รวมระยะเวลา 8 เดือน
(ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนตุลาคม 2560) พบว่า บริเวณที่ตั้งโซลาร์ฟาร์มจะร้อนกว่าพื้นที่โดยรอบ
0.3 องศาเซลเซียส ถือว่าน้อยมาก ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ
ดังนั้น ผลกระทบจากแสงสะท้อนและความร้อนต่อการเกษตรจึงอยู่ในระดับต่ำ
“ถ้ามองตามหลักวิทยาศาสตร์
หลักการของพลังงาน พลังงานจะไม่สูญหายแต่มีการเปลี่ยนรูป พลังงานไฟฟ้าที่ได้มา เกิดจากการดูดพลังงานจากแสงอาทิตย์ไปใช้
แผงโซลาร์เซลล์จึงไม่ได้สะท้อนความร้อน
แต่เป็นการดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ จึงไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมร้อนขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งที่อาจทำให้รู้สึกว่าร้อน
เป็นเพราะในพื้นที่ไม่มีต้นไม้
ไม่มีร่มเงามากกว่า แต่หากจะทำให้ลำปางร้อนขึ้นหรือไม่ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องแน่นอน
และหลังจากโครงการเกิดขึ้น จะมีคณะกรรมการร่วมระหว่าง กฟผ. แม่เมาะ กับชุมชน เข้ามาตรวจติดตามสภาพสิ่งแวดล้อม
ว่ามีค่าตรวจวัดใดเกินมาตรฐานหรือไม่ ชุมชนในพื้นที่จะได้เข้ามามีส่วนร่วมและรับทราบข้อมูลต่างๆ
อย่างโปร่งใสด้วย”
¨ โซลาร์ฟาร์มใช้น้ำน้อยมาก ไม่กระทบชุมชน
ในประเด็นนี้
กฟผ.แม่เมาะ มีท่อส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่จางมาใช้ที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ได้วันละ 2.2 แสนคิว ซึ่งปัจจุบันชุมชนนำไปใช้อยู่ประมาณ 6 หมื่นคิว ขณะที่โซลาร์ฟาร์มจะใช้น้ำเพื่อการล้างแผงในฤดูแล้งเพียงวันละ 100
คิว ถือเป็นการใช้น้ำน้อยมาก ขอชุมชนไม่ต้องกังวลว่าจะมีน้ำไม่เพียงพอ
โครงการโซลาร์ฟาร์มแม่เมาะนี้เป็นเพียงโครงการนำร่องผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ประโยชน์ในการทำเหมืองเท่านั้น ซึ่งในอนาคต กฟผ. แม่เมาะ ยังมีแผนขยายพื้นที่โครงการโซลาร์ฟาร์มตามศักยภาพของ อ. แม่เมาะ ได้อีกกว่า 1,000 เมกะวัตต์ เป็นความมั่นคง สร้างรายได้ สร้างการจ้างงานลูกหลานของชาวแม่เมาะ และยังมุ่งพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทุ่งโซลาร์ฟาร์ม ชักชวนให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม อ.แม่เมาะ มากขึ้น
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น