วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

สหบาทา เฮียสอ เมื่อสื่อใหญ่ลืม ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา


จำนวนผู้เข้าชม Hit Web Stats

จนถึงวันนี้ คงแทบไม่ต้องกล่าวถึงอาการบาดเจ็บของเฮีย สรยุทธ สุทัศนะจินดา หลังจากโดนถล่มรอบทิศ จากทั้งคนทั่วไป และคนในวงการเดียวกัน ในฐานะรุ่นพี่ที่เคยคุ้นเคยกันตามสมควร ผมยังยืนยันว่าเฮียเป็นคนเก่ง ขยัน อดทน จนกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นคนข่าวที่รายได้สูงที่สุดในประเทศ

แค่เฮีย พูดคำว่า “ครับ” คำเดียว ก็มากกว่าเงินเดือนของผมทั้งเดือนแล้ว

และจนถึงบรรทัดนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร ขอคารวะหัวจิตหัวใจของเฮีย ที่ประกาศยุติบทบาทการเป็นพิธีกร เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

ยังคงประเด็นที่น่าสนใจ และอาจไม่ได้พูดกันมากนัก คือปรากฏการณ์แมลงวันตอมแมลงวัน ที่ส่วนใหญ่รุมกระหน่ำเฮียชนิดที่แทบจะไม่ได้ไปผุด ไปเกิดกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะนายใหญ่และค่ายสื่อที่เฮียเคยสังกัดอยู่
ชั่วๆดีๆ เฮียก็เคยทำประโยชน์ให้กับองค์กรนี้ หากจะยั้งดาบไว้ไมตรีบ้าง ก็น่าจะเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ที่มีเมตตา และเอาเข้าจริงแล้ว ก็ต้องย้ำว่า ก่อนจะวิพากษ์ใคร ก็ต้องตักน้ำใส่กะโหลกดูเงาตัวเองบ้าง เพราะพฤติกรรมในทางลับก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเฮีย เพียงแต่รายละเอียด และเรื่องราวต่างกัน

คงอีกไม่นานก็จะปรากฏความจริง ให้สังคมทดสอบอีกครั้งว่า เมื่อพยายามแสดงราคาความเป็นคนมีหลักการ ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา แต่ความจริงตรงกันข้าม สังคมจะมองสื่อนี้แตกต่างจากเฮียสอมากน้อยเพียงใด

แน่นอนว่า ความซื่อสัตย์ เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับสื่อมวลชน เพราะหากไม่ซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง ไม่ซื่อสัตย์ต่อแหล่งข่าว และสำคัญที่สุดคือไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง จะรักษาความเชื่อถือ และเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพไว้ได้อย่างไร
เมื่อองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น ตั้งวงเสวนาว่าด้วยพฤติกรรมอันไม่สุจริตของสื่อ กรณียักยอกเงินค่าโฆษณา ของ อสมท ราว  ปีก่อน ผมให้ความเห็นว่า การนำเงินส่วนเกินไปคืน ไม่ได้ทำให้ความผิดกลับมาถูกต้องได้ เพราะความผิดสำเร็จนับแต่ยักยอกแล้ว อีกทั้งผู้กระทำ มีฐานะทั้งความเป็นสื่อ และบุคคลสาธารณะ หรือคนของประชาชน ที่สมควรต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรม และความรู้สึกผิด ชอบ ชั่ว ดี สูงกว่าคนอื่นๆ

ยังมีสื่อใหญ่อีกบางคน ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน คือเป็นทั้งนายทุน เจ้าของกิจการ และสื่อในเวลาเดียวกัน โดยไม่สามารถแยกแยะบทบาททั้งหลายนี้ออกจากกันได้ การใช้อภิสิทธิ์ของความเป็นสื่อ บิดเบือน แสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรมี ควรได้แก่ตัวเองจึงเกิดขึ้นอยู่เสมอ

เฮียไม่ใช่รายสุดท้าย ยังคงมีสื่อที่ไม่สุจริตอีกบางคน ที่จะต้องกำหราบโดยกฎหมาย และตอกย้ำว่า สื่อมิใช่อภิสิทธิชน
สำหรับข้อโต้แย้งของเฮีย เรื่องคดียังไม่ถึงที่สุดนั้น อาจจำเป็นต้องเข้าใจว่า เฮียและจำเลยในคดีทุจริตยักยอกเงินโฆษณา มีเวลาอีกหนึ่งเดือนจากนี้ ที่จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญา มีคำอธิบายว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่สั่งลงโทษจำคุกคุณเฮีย โดยไม่รอลงอาญานั้น ยังคงมีอีกสองศาลที่เฮีย จะพิสูจน์ตัวเอง การด่วนสรุปว่าเฮียมีความผิด เรียกร้องและกดดันให้เฮียในฐานะเจ้าของบริษัทไร่ส้ม หยุดทำหน้าที่หน้าจอ จึงไม่แฟร์

ด้วยความเคารพในคำพิพากษาของศาลอาญา คดีนี้ อัยการโจทก์ ฟ้องเจ้าพนักงานรัฐ และเฮียเป็นจำเลยร่วมกันในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนให้พนักงานกระทำความผิด หลักฐานสำคัญที่ใช้เป็นหลักในการพิจารณาลงโทษ คือเช็คที่สั่งจ่าย อดีตพนักงานจัดคิวโฆษณา บริษัทอสมท ซึ่งเฮียอ้างว่า เป็นการให้โดยเสน่หา
ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นที่ยุติว่า มีการสั่งจ่ายเช็ค ลงลายมือชื่อคุณเฮียจริง เพื่อจูงใจให้จำเลยที่ ๑ รายงานเท็จเรื่องโฆษณาเกินเวลา

ในทางกฎหมาย หลักฐานเอกสารจึงมัดเฮีย ไม่ให้โต้แย้งข้อเท็จจริงได้อีก ประเด็นในชั้นศาลอุทธรณ์และฏีกา จึงเหลือเพียงเหตุบรรเทาโทษ ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเท่านั้น ไม่มีเหตุอื่นที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริยธรรมไม่ใช่กฎหมาย กฎหมายถามหาคำพิพากษาถึงที่สุด จริยธรรมถามหา 'สำนึกถ้ายังไม่มี ไม่เกิด คิดไม่ได้ ก็ทำงานแอบแฝงความเป็นสื่อต่อไป
รวมทั้งคนที่ขึ้นธรรมาสน์ชี้หน้าด่าว่า เฮียไร้จริยธรรม ทั้งที่เขาไร้จริยธรรมยิ่งกว่า

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1069  วันที่ 4 - 10  มีนาคม 2559)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์