วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ดีงามกว่า Slow Life ต้อง Low Carbon

จำนวนผู้เข้าชม Hit Web Stats

“เราไม่มีทางหนีจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มันคือเรื่องจริงและส่งผลกระทบทุกที่ เราไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่เราไม่ได้ทำอะไร แต่สิ่งที่เราทำได้ คือความพยายามอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้และทุกวัน เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมของเราและสุขภาพของ...ชาวแคนาดาทุกคน”
           
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ความฝันพลันสลาย อ้าว นี่ไม่ใช่คำพูดของท่านผู้นำเราหรอกหรือ เปล่า นี่คือคำแถลงการณ์ของนายจัสตินทรูโด นายกรัฐมนตรีประเทศแคนาดา ที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า แคนาดาจะเริ่มเก็บภาษีคาร์บอนในปี พ.ศ. 2561 เพื่อบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส โดยแต่ละพื้นที่จะมี 2 ทางเลือก คือ ใช้การจัดเก็บภาษีการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทางตรง คิดราคา 10 ดอลลาร์แคนาดา ต่อตันคาร์บอน หรือจะเลือกใช้ระบบ cap-and-trade ซึ่งมี 2 องค์ประกอบ คือ การจำกัด (cap) หมายถึง การกำหนดเพดานการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนออกไซด์ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจค้นหานวัตกรรม หรือเทคโนโลยีเพื่อลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก ส่วนการซื้อขาย (trade) หมายถึง ระบบซื้อขายคาร์บอนออฟเซ็ตสำหรับธุรกิจที่มีข้อจำกัดในการลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยให้ธุรกิจเหล่านั้นนำรายได้ไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจอื่นที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
           
ทั้งนี้ หากพื้นที่ใดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ รัฐบาลกลางจะเป็นผู้ดำเนินการเก็บภาษีคาร์บอน โดยเริ่มที่ 10 ดอลลาร์แคนาดา ต่อตัน โดยจะเพิ่มปีละ 10 ดอลลาร์แคนาดาทุกปีจนถึง 50 ดอลลาร์แคนาดาในปี พ.ศ. 2565
           
นายกรัฐมนตรีแคนาดาเป็นคนหนุ่มไฟแรงมีแนวคิดทันสมัย เช่นเดียวกับทีมของเขาที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ เขามองว่า การใช้กลไกตลาดเพื่อจัดการปัญหาคาร์บอนไดออกไซด์จะทำให้แคนาดามีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่สะอาดขึ้น และบังคับให้ธุรกิจพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอน
           
แอบอิจฉาชาวแคนาดาที่มีผู้นำเท่และมีสไตล์ อุ๊บส์ ไม่ใช่ ผู้นำหัวก้าวหน้า กล้าคิดกล้าทำ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ขณะที่ประเทศไทยยังมะงุมมะงาหราควานหาต้นตอสารพิษที่ถูกลักลอบปล่อยลงแม่น้ำแม่กลองจนปลากระเบนราหูน้ำจืด สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของโลกและของไทย ตายไปร่วมครึ่งร้อย สัตว์น้ำที่ดอนหอยหลอดก็มีปัญหา ดูท่าว่าจะเป็นความสูญเสียทรัพยากรสัตว์น้ำที่ไม่จบลงง่าย ๆ
           
เมืองลำปางเราหลังจากขายความเนิบช้า หรือ Slow Life จนยอดนักท่องเที่ยวพุ่งกระฉูดแล้ว ก็น่าสนใจหากจะลองชูจุดเด่นความเป็นเมือง Low Carbon ดูบ้าง ก่อนอื่นคงต้องจัดการปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองในอากาศอย่างเด็ดขาดให้ได้แล้วหันมาให้ความสำคัญกับพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างรถม้า รถจักรยาน และรถสามล้อถีบล่าสุดยังมีรถรางของชุมชนท่ามะโอ ถึงจะไม่ใช่รถรางแท้ ๆ ที่ใช้ไฟฟ้า เป็นรถชมเมืองที่วิ่งโดยไม่ใช้ราง แต่ด้วยล้อ ก็โอเคล่ะว่า สามารถบรรทุกคนได้ครั้งละมาก ๆ พาไปเที่ยวยังจุดต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว ช่วยลดคาร์บอนได้เหมือนกัน
           
หันมาจัดการปัญหาหมอกควัน ให้ความสำคัญกับพาหนะเรียบง่ายเปิดพื้นที่บนท้องถนนอย่างเท่าเทียม น่าภูมิใจดีออกหากลำปางจะเป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เมืองสวย เมืองชิล เมืองไหนก็ทำได้ แต่เมือง Low Carbon นี่สิเจ๋งกว่าเยอะ

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1100  วันที่  14 -  20 ตุลาคม 2559)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์