วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

ห้าแยกหอนาฬิกา วงเวียนวัดสำนึก !

จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์

มื่อรถหมุนเข้าสู่วงเวียน เขาย่อมรู้ว่านี่เป็นสิทธิที่เขาจะได้ไปก่อน ขณะที่รถทางตรงต้องชะลอ เป็นการให้ความเคารพสิทธิของคนอื่น และเมื่อรถตัวเองเข้าสู่วงเวียน ก็แปลว่า รถทางตรงคันอื่น ก็ต้องรอให้เขาไปก่อนเช่นเดียวกัน แต่ความเป็นจริง เป็นเช่นนี้หรือไม่ ต้องไปดูวงเวียนห้าแยกหอนาฬิกา

อาจมีวงเวียนในกรุงเทพ และปริมณฑล ที่ถนนทั้งสี่ด้าน เป็นถนนขนาด 4 เลน 6 เลน เมื่อมาบรรจบกันที่วงเวียน อาจวุ่นวายสับสน ด้วยนิสัยคนไทยที่ขาดระเบียบวินัย ไม่รู้สิทธิคนอื่น ไม่รู้จักหน้าที่ แม้ถนนที่ไม่กว้างมาก เช่น วงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็ยังต้องติดตั้งไฟเขียว ไฟแดง เพื่อจัดระเบียบ และควบคุมสันดานของคนบางคนที่เห็นแก่ตัว

แต่กับถนน 2 เลนเล็กๆ ที่แยกหอนาฬิกา เป็นเรื่องแปลกประหลาด มหัศจรรย์มาก ถ้าจะมีไฟเขียว ไฟแดงบังคับ

ถนนใหญ่พอเข้าใจ  ว่าต้องบังคับกันด้วยไฟเขียว ไฟแดง เพราะประเทศไทยตามใจฉัน ไม่สนใจกติกา ไม่ใส่ใจวิธีใช้รถใช้ถนนในวงเวียนที่ถือเป็นหลักสากลว่าให้รถในวงเวียนไปก่อน

ปรากฏการณ์นี้กันที่ห้าแยกหอนาฬิกา มาช้าแต่เหยียบคันเร่งให้เข้าถึงวงเวียนก่อน เพื่อจะได้ไปก่อนโดยไม่เคารพสิทธิรถในวงเวียน

ว่ากันว่าวงเวียนเป็นระบบการจราจรที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนเส้นทาง ทั้งปลอดภัยกว่า และง่ายต่อการดูแลรักษา ไปจนถึงยังช่วยลดมลภาวะจากการจราจรให้รถไม่ติดขัดและสามารถคล่องตัวได้ดี เป็นระบบจราจรสากลที่ไม่ใช้ไฟแดง ที่ใช้หลักการไหลเป็นวงกลม โดยให้รถในวงเวียนไปก่อน  ทั่วทั้งโลกก็เป็นเช่นนี้

แต่วงเวียนในประเทศไทย ถ้าจะให้รถในวงเวียนไปก่อน ต้องบังคับด้วยไฟเขียว ไฟแดง ฉะนั้น วงเวียนใหญ่ 2 แห่งในกรุงเทพ คือวงเวียนอนุสาวรีย์ชัย และวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่แต่เดิมใช้กติกานี้ ก็เปลี่ยนมาใช้สัญญาณไฟจราจรบังคับแทนเนิ่นนานมาแล้ว

ประเทศอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการใช้วงเวียนมากที่สุดในโลก ผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการขับรถผ่านแยกที่นำการจราจรแบบวงเวียนอาจจะรู้สึกว่ายาก แต่หากได้ทดลองใช้จะพบว่าการขับรถผ่านวงเวียนที่มีผู้ใช้รถใช้ถนนเคารพกติกา เคารพกฎจราจร จะสะดวกมาก  เพราะเมื่อเข้าใกล้วงเวียนเพียงให้ทางรถที่วิ่งอยู่ในวงเวียน รวมทั้งชำเลืองหรือมองไปดูรถที่วิ่งมาทางขวา หากไม่มีรถหรือมีแต่กำลังวิ่งเข้ามาในระยะที่ปลอดภัย เขาก็สามารถขับรถเข้ารอบวงเวียน และได้สิทธิในการยึดครองทางเอก (รถในวงเวียน) เป็นการชั่วคราว โดยที่รถคันอื่นๆ จะต้องคอยสังเกตและให้ทางแก่เรากันต่อไป กลายเป็นหลักกติกาสากลทั่วโลกว่า

ให้รถในวงเวียนไปก่อน

บ้านเรา ห้าแยกหอนาฬิกา เป็นจุดกลางเมืองลำปางที่เชื่อมต่อไปหลายเส้นทาง ก่อนหน้านั้นมีการใช้สัญญาณไฟจราจร แต่เมื่อราวปี 2550 ได้มีการจัดทำโครงการปรับภูมิทัศน์ข่วงนคร โดยใช้งบประมาณสูงถึง 75 ล้านบาท จนเมื่อข่วงนครสร้างเสร็จในปี 2551 จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการจราจรมาเป็นใช้วงเวียน

พรบ.จราจร ลักษณะ 6 การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน มาตรา 73 ในกรณีที่วงเวียนใดได้ติดตั้งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตาม สัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรนั้น  ถ้าไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรตามวรรคหนึ่ง เมื่อผู้ขับขี่ขับรถมาถึงวงเวียน ต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจรจะให้สัญญาณจราจรเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดให้ นั่นคือ ให้รถในวงเวียนไปก่อน

หากนับจากห้าแยกหอนาฬิกา กลายมาเป็นข่วงนคร ก็หลายปีแล้ว เมืองลำปางคึกคักขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงของสังคม  จำนวนรถมอเตอร์ไซด์ และรถยนต์บนท้องถนนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดปัญหาการจราจรช่วงเวลาเร่งรีบ บริเวณวงเวียนข่วงนครก็เช่นกัน  มีรถสัญจรผ่านไปมาก เกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง หลายคนบอกว่าเป็นเพราะไม่มีสัญญาณไฟจราจร ทั้งที่กฎจราจรทั่วโลกที่มีวงเวียนนั้นต่าง ต้องให้รถในวงเวียนไปก่อน

สัญญาณไฟจราจรอาจะเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
เพราะเท่าที่สังเกตรู้ว่าเมื่อต้องให้รถในวงเวียนไปก่อนทำให้รถแต่ละคันพยายามเร่งความเร็วเพื่อให้เข้ามาอยู่ในวงเวียนเพียงเพื่อจะได้ ไปก่อน ดังนั้น จากหลักสากล ให้รถในวงเวียนไปก่อนจึงกลายเป็น ให้รถ ตูไปก่อน จึงไม่แปลกที่จะเกิดอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง

การรณรงค์เรื่องการรักษากฎจราจรจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้วงเวียนไม่ใช่เรื่องน่าวิงเวียนหรืองุนงงสงสัยอีกต่อไป หากทุกคนร่วมใจกันปฏิบัติตามกฎจราจร มีน้ำใจบนท้องถนน ปัญญาวงเวียนที่วนเวียนจนรถชนกันโครมครามคงหายไป
เราลงมาคิดถูกว่าหาบริเวณหอนาฬิกา กลับมาใช้ระบบไฟแดงเหมือนเมื่อก่อน หารจราจรจะติดขัดเพียงใด ยิ่งโดยเฉพาะช่วงเวลาโรงเรียนเลิก เพราะเส้นถนนนั้นเชื่อมต่อ หลายโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนเทศบาล 4 ประชาวิทย์ อัสสัมชัญ อรุโณทัย มัธยมวิทยา และยังไม่นับโรงเรียนอื่นๆที่รถรับส่ง รถผู้ปกครองที่มารับลูกๆหลังเลิกเรียน

เราอาจต้องมาพิจารณากันบ้างว่าสิ่งที่หายไปนั้น คือ สัญญาณไฟจราจร  หรือ “จิตสำนึกคน”ในการใช้รถ ใช้ถนน ที่สาบสูญไปจากสังคมเมืองลำปางกันแน่

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1225 วันที่ 12 - 25 เมษายน 2562)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์