วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

โคโรน่าพ่นพิษ ไม่ร้ายเท่าคนฉวยโอกาส

จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์

สถานการณ์โรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ประเทศจีน เมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมานับว่าเป็นผลกระทบระดับโลก ที่มีความตื่นตัวในทุกประเทศ รวมถึงคนไทยที่กำลังแตกตื่น ดราม่าอยู่ในขณะนี้ ที่สำคัญมันส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เพราะไทยถือเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก เมื่อมีข่าวการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าสาเหตุต้นทางมาจากชาวจีน ระบบเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวที่พึ่งพาตลาดจีน ถึงกับต้องชะงักลงทันที คาดว่าไทยสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) ราว 3 แสนล้านบาท

แต่ผลกระทบทางตรงเรื่องการท่องเที่ยวยังไม่สู้ผลกระทบที่มาแรงแซงโค้งสุดๆคือ ราคาหน้ากากอนามัยในประเทศไทยที่ดีดตัวขึ้นไปอย่างน่าตกใจ เรียกได้ว่า โก่งราคาเป็นเท่าตัวจนรัฐบาลต้องออกมาวางมาตรการ กำหนดให้สินค้า 1. หน้ากากอนามัยและเส้นใยโพลีโพรพิลีน(สปันบอนด์)เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย และ2.ผลิตภัณฑ์เจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เป็นสินค้าควบคุมโดยจะเร่งนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 หากที่ประชุมเห็นชอบก็จะนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้ในทันที

ซึ่งอาจจะมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น จำกัดจำนวนการซื้อสินค้าไม่ให้มีการซื้อในปริมาณที่มากหรือซื้อโดยนำออกนอกประเทศ

การโก่งราคาที่ว่านี้ก็เกี่ยวข้องกับข่าวการปั่นราคาหน้ากากอนามัยทั้งแบบธรรมดา และแบบ N95เหมือนปั่นหุ้นรายวันกันเลยทีเดียว ที่ร้ายไปกว่านั้น การเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการสอบถามแหล่งผลิต หรือขายหน้ากากอนามัย โดยให้ข้อมูลลอยๆว่าถามบอกต่อกันว่า ต้องการหลักพันชิ้นไปจนถึงล้านชิ้น ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าที่อยากได้กำไรส่วนต่าง วิ่งหาซื้อขายกันให้วุ่น โดยส่วนใหญ่จะซื้อขายกันแบบ สั่งจอง วางเงินจอง หนักเข้าบางรายอยากเป็นนายหน้าเฉพาะกิจ ก็ตกหลุมพรางกันไปเยอะ บางรายก็หัวใส ลงทุนกว้านซื้อมาตุนเก็งกำไรจากการสร้างดีมานด์เทียมสุดโหด เหมือนเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงไปอีก

ไวรัสโคโรน่า ยังจะพ่นพิษให้เศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ฉะนั้น อย่าแตกตื่น จนตกหลุมพราง จ่ายเงินให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่ขูดเลือดขูดเนื้อด้วยการสร้างดีมานด์จากการปั่นกระแสกันเลย


Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์