


โรงไฟฟ้าแม่เมาะ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) แจ้งยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่ เข้มงวดการเข้าออก ตรวจคัดกรองบุคคล ยานพาหนะทุกชนิด
วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 จากเหตุการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น โรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของภาคเหนือซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ จึงได้แจ้งยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อควบคุมรักษาสถานที่และป้องกันอันตรายจากกลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีตามแผนรักษาความปลอดภัย กฟผ. โดยยกเป็นระดับ 3 สีส้ม เป็นการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เมื่อคาดว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้นสามารถติดอาวุธที่ กฟผ.มีใช้อยู่ ทั้งนี้โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จะดำเนินการ ตรวจสอบการเข้า-ออก ให้เข้มข้น ตรวจค้นอาวุธ ยานพาหนะเข้า-ออก โดยให้ลดกระจก เปิดท้ายรถ และตรวจคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะบุคคลภายนอกและชาวต่างชาติ
สำหรับพื้นที่ในการควบคุมดูแลการรักษาความปลอดภัยได้กำหนดดังนี้ พื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด ได้แก่ พื้นที่โรงไฟฟ้าที่มีรั้วล้อมรอบชั้นใน, พื้นที่ควบคุม ได้แก่ พื้นที่อาคารประกอบรอบโรงไฟฟ้าแม่เมาะที่อยู่นอกเขตพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด และ พื้นที่ทั่วไป ได้แก่ พื้นที่นอกเขตรั้วโรงไฟฟ้าแม่เมาะที่ปรากฏของอาคารทรัพย์สินของ กฟผ.
เทศบาลตำบลวังเหนือ นำโดย นายสุทธิศาล ภูมี นายกเทศมนตรีตำบลวังเหนือ มอบหมายให้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลวังเหนือ โดยครูณัฎฐริกา ใจดี หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลวังเหนือ จัดโครงการป้องกันอันตรายและสร้างความปลอดภัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี นำโดย ร.ต.อ.บุญเรือง อุปทอง รอง สวป.สภ.วังเหนือ ร่วมให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนในการรับมือกับป้องกันภัย เมื่อวันที่ 23 ก.ค 68 ที่ผ่านมา
โดยมีการจำลองเหตุการณ์เสมือนจริงที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา
เพื่อให้ครูและนักเรียน ประมาณ 80 คน ทำการซักซ้อมแผนรักษาความปลอดภัย
และเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องราวขณะที่มีเหตุ
คนบ้าบุกเข้ามาในโรงเรียน พร้อมกับอาวุธ เพื่อพยายามทำร้ายเด็กนักเรียน ในการซักซ้อมเจ้าหน้าที่ได้ให้เด็กๆวิ่งไปหลบตามจุดต่างๆที่ปลอดภัย
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำอุปกรณ์ไม้ง่าม เข้าระงับเหตุและทำการจับกุมตัวคนบ้าได้สำเร็จ
โดยไม่มีใครได้รับอันตราย
นอกจากนั้นยังมีการซ้อมแผนเผชิญเหตุแผ่นดินไหว การตื่นตัว และการเฝ้าระวังเมื่อเกิดเหตุ
ซึ่งเด็กๆได้เรียนรู้ เข้าใจ
และปฏิบัติตามได้เป็นอย่างดี
สำหรับจัดกิจกรรมครั้งนี้
ถือเป็นสร้างความตระหนักและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ปกครองและครูผู้ดูแลเด็กเกี่ยวกับวิธีป้องกันภัยต่างๆ
ที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก
รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆได้อย่างทันท่วงที
ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อสรรหาและเลือกสรรเป็นพนักงานจ้าง
สังกัดเทศบาลนครลำปาง จำนวน 29 อัตรา
พนักงานจ้างทั่วไป
จำนวน 7 ตำแหน่ง รวม 14 อัตรา
1. ตำแหน่ง
คนงานบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 3 อัตรา
2. ตำแหน่ง
คนงานสถานีขนส่ง จำนวน 1 อัตรา
3. ตำแหน่ง
คนงานทะเบียนทรัพย์สิน จำนวน 1 อัตรา
4. ตำแหน่ง คนงานทั่วไป
(ประจำสำนักงาน) จำนวน 3 อัตรา
5. ตำแหน่ง คนงาน
(หัวหน้าหมวดคนงานกวาดถนน) จำนวน 1 อัตรา
6. ตำแหน่ง คนงานทั่วไป
(ประจำโรงอาหาร) จำนวน 2 อัตรา
7. ตำแหน่ง ภารโรง
จำนวน 3 อัตรา
พนักงานจ้างตามภารกิจ
ตำแหน่งสำหรับผู้มีคุณวุฒิ จำนวน 5 ตำแหน่ง รวม 11 อัตรา
1. ตำแหน่ง
ผู้ช่วยเจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว จำนวน 1 อัตรา
2. ตำแหน่ง
ผู้ช่วยเจ้าพนักงานเทศกิจ จำนวน 1 อัตรา
3. ตำแหน่ง
ผู้ช่วยนายช่างศิลป์ จำนวน 1 อัตรา
4. ตำแหน่ง
ผู้ช่วยเจ้าพนักงานธุรการ จำนวน 5 อัตรา
5. ตำแหน่ง
ผู้ช่วยนักวิชาการคอมพิวเตอร์ จำนวน 3 อัตรา
พนักงานจ้างตามภารกิจ
ตำแหน่งสำหรับผู้มีทักษะ จำนวน 3 ตำแหน่ง 4 อัตรา
1. ตำแหน่ง
พนักงานขับเครื่องจักรกลขนาดเบา จำนวน 2 อัตรา
2. ตำแหน่ง
พนักงานขับเครื่องจักรกลขนาดกลาง จำนวน 1 อัตรา
3. ตำแหน่ง
พนักงานขับเครื่องจักรขนาดหนัก จำนวน 1 อัตรา
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม/ดาวน์โหลดใบสมัคร
ได้ที่ลิงก์ https://lampangcity.go.th/th/news-view/open/df0if1wfxsi5
หรือขอรับใบสมัครและยื่นใบสมัครด้วยตนเอง
ณ ห้องประชุมอุทยานการเรียนรู้นครลำปาง (LK Park) เทศบาลนครลำปาง
ระหว่างวันที่ 5 - 15 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 - 12.00 น. และ เวลา 13.30 -
16.30 น. เว้นวันหยุดราชการ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Facebook
: HR เทศบาลนครลำปาง หรือโทร. 054-237237 ต่อ 1117
(ในวันและเวลาราชการ)
เมื่อวันที่ 23 ก.ค.68 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังเหนือ ได้รับแจ้งว่า มีคนกระโดดลงไปในแม่น้ำวัง บริเวณบ้านทุ่งเป้า ม.4 ต.วังเหนือ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง จึงประสานเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยวังเหนือ ร่วมค้นหาผู้สูญหาย หลังรับแจ้งสมาคมกู้ภัยวังเหนือ จัดเจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ พร้อมเตรียมนำเรือลงค้นหาในแม่น้ำวัง ต่อมานายทศพล จักรบุญมา นายอำเภอวังเหนือ พร้อมด้วยปลัดอำเภอวังเหนือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังเหนือ พร้อมผู้ใหญ่บ้านทุ่งเป้า หมู่ 4 ได้เดินทางมายังจุดเกิดเหตุ เพื่อติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริง
จากการสอบถามทราบว่า
ผู้สูญหายคือ นายวัฒน์ อายุประมาณ 40-45 ปี ก่อนหน้านี้ได้มีปากเสียงกับแฟนสาว โดยมีพลเมืองดี
ซึ่งเป็นคนมาตั้งจำหาปลากในบริเวณดังกล่าว พบเห็นเมื่อเวลา 19.10 น. ว่านายวัฒน์เดินทางยังริมแม่น้ำวัง
ก่อนจะกระโดดลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว
ทางชาวบ้านที่ตั้งจำอยู่ พยายามหาไม้ยื่นลงไปให้จับไว้ แต่นายวัฒน์ไม่ยอมจับ
และได้จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา
จึงแจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทันที
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยและชาวบ้าน
ได้ออกเดินตามหาตามริมตลิ่งเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร
แต่ยังไม่พบ เนื่องจากแม่น้ำวังมีความไหล่เชี่ยวอย่างมาก จึงต้องหยุดค้นหาในช่วงกลางดึก
เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย ต่อมาเช้าวันที่
24 ก.ค.68 จึงได้นำเรือล่องไปตามเส้นทางน้ำที่คาดว่าผู้สูญหายจะลอยไปติดอยู่
แต่ล่าสุดเวลา 16.00 น. ก็ยังไม่พบตัว เจ้าหน้าที่จึงต้องปรับแผนการค้นหา
เนื่องจากในพื้นที่ยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าแม่น้ำวังจะลดระดับลงแล้ว
แต่ยังไหลเชี่ยวอยู่
หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบอีกครั้ง
ภาพ ว่าที่ร้อยตรีคฑา
ลีลายุทธ สมาคมกู้ภัยวังเหนือ
วันที่
24 ก.ค.68 ว่าที่ร้อยตรี
สมศักดิ์ พรหมดำ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ
“การติดตามผลและระดมสมองเพื่อพัฒนาต้นแบบเครือข่ายด้านแรงงานในระดับภาค”
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่จังหวัดลำปาง โดยมี นายอิทธิเดช สุพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักตรวจและประเมินผล
กล่าวรายงาน ร่วมด้วย แรงงานจังหวัด บัณฑิตแรงงาน อาสาสมัครแรงงาน ผู้บริหาร
หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงาน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 17 จังหวัดภาคเหนือจำนวนทั้งสิ้นประมาณ
200 คน
นายอิทธิเดช
สุพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักตรวจและประเมินผล กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ขับเคลื่อนภารกิจการส่งมอบบริการด้านแรงงานแก่ประชาชนในพื้นที่
ผ่านเครือข่ายบัณฑิตแรงงานและอาสาสมัครแรงงาน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการของหน่วยงานต่าง
ๆ ครอบคลุมทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
สำนักงานประกันสังคม และสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งที่ผ่านมาเครือข่ายทั้ง 2 กลุ่มนี้ สามารถตอบสนองความต้องการด้านแรงงานในระดับอำเภอและตำบลได้อย่างมีประสิทธิภาพและใกล้ชิดกับชุมชน
ปัจจุบันมีบัณฑิตแรงงานทั่วประเทศ 725 คน เฉพาะภาคกลาง 126
คน และอาสาสมัครแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ 8,154 คน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของเครือข่ายแรงงาน โดยเฉพาะบัณฑิตแรงงานนั้นยังต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ดังนั้น สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานโดยสำนักตรวจและประเมินผลจึงได้จัดทำโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อติดตามผลการดำเนินงานและระดมสมองจากผู้แทนสำนักงานแรงงานจังหวัดและบัณฑิตแรงงาน ผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือ Design Thinking โดยวิทยากรจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร และถอดบทเรียนเพื่อพัฒนารูปแบบและวิธีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงแรงงานและเป้าหมายของการมีบัณฑิตแรงงานอย่างแท้จริง โดยจะหมุนเวียนไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
ด้าน
ว่าที่ร้อยตรี สมศักดิ์ พรหมดำ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้เริ่มดำเนินโครงการจ้างบัณฑิตแรงงานมาตั้งแต่ปี2550
ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา
นราธิวาส และปัตตานี) และในปี 2567
ได้ขยายการดำเนินงานบัณฑิตแรงงานออกไปอีก 73 จังหวัด
รวมมีจำนวนบัณฑิตแรงงานทั่วประเทศ จำนวน 725 คน
ที่ผ่านมาบัณฑิตแรงงานได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานในระดับพื้นที่
เป็นสื่อกลางประสานความเข้าใจระหว่างรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน
จัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ที่สำคัญคือการให้บริการด้านแรงงานทั้งข้อมูลข่าวสาร
รับเรื่อง คัดกรอง และส่งต่อในด้านการจัดหางาน การพัฒนาทักษะฝีมือ ประกันสังคม
และการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และมีการตอบรับที่ดีจากประชาชน
ส่วนอาสาสมัครแรงงาน
(อสร.) ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 ปัจจุบันมีจำนวนอาสาสมัครแรงงานในประเทศ 7,746 คน และในต่างประเทศอีก 408 คน
โดยมีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร
แจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวด้านแรงงานแก่ประชาชนในพื้นที่
และติดต่อประสานงานคนหางานและผู้ใช้แรงงานกับหน่วยงานของกระทรวงแรงงาน
ซึ่งถือว่าเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งของกระทรวงแรงงานเช่นเดียวกัน
ความคาดหวังต่อบัณฑิตแรงงาน
และอาสาสมัครแรงงาน
ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน
กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงแรงงานอยากเห็นก็คือ
บัณฑิตแรงงานและอาสาสมัครแรงงาน
บูรณาการร่วมกันในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงสู่ประชาชนในระดับพื้นที่ โดย อสร.
ถือเป็นรากแก้วของชุมชน เป็นผู้เสียสละจิตอาสา มีเครือข่ายและประสบการณ์
ส่วนบัณฑิตแรงงานนั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง และสื่อสารทันสมัย
ซึ่งจะเป็นพลังของคน 2 รุ่น
ที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ด้วยพลังแห่งประสบการณ์ และพลังของคนรุ่นใหม่ทุกท่านจึงเปรียบเสมือน
“เจ้าหน้าที่ภาคสนาม” ที่ช่วยขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงานทั้งระบบ
ไม่ใช่แค่ประสาน...แต่เป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ของชุมชน บัณฑิตแรงงาน และ อสร. จึงต้องเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายผลการทำงาน เป็นผู้รวบรวมเสียงของแรงงานเพื่อเสนอนโยบาย
และทำงานร่วมกับเครือข่ายอื่น
เมื่อเวลา
09.30 น. วันที่ 24 ก.ค.68 พ.ต.ท.วิเชียร
ใจสันกลาง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองลําปาง เข้าตรวจสอบเหตุ เจ้าหน้าที่ตํารวจใช้อาวุธยิงตัวตายเสียชีวิต
บริเวณศาลาที่พักด้านหลังอาคาร
สภ.เมืองลําปาง พร้อมกับประสานแพทย์นิติเวช
รพ.ลำปาง เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน 5 ลำปาง กู้ภัยสว่างนครลำปาง
ร่วมตรวจสอบ
ต่อมาทาง พ.ต.อ. คมสันต์ บํารุงยศ ผกก
สภ.เมืองลําปาง รายงานให้ พ.ต.อ.คมสันต์
สอาดล้วน รอง ผบก.ภ.จว.ลําปาง ทราบจึงรุดมาสอบสวนที่เกิดเหตุด้วยตนเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจชุดสืบสวน
พบร่างของ ร.ต.ต.สมบูรณ์ อายุ 54 ปี
สังกัด สภ.เมืองลําปาง ตําแหน่งหัวหน้าชุดสายตรวจร้านทอง
นอนเสียชีวิตอยู่ที่พื้นศาลาที่พัก
โดยยังคงสวมใส่เครื่องแบบเต็มยศ ในสภาพนอนหงายเท้าพาดบนที่นั่งศาลา พบหมวกตำรวจสีดํา
1 ใบตกอยู่ข้าง และพบอาวุธปืนพกสั้น 9.ม.ม.คาอยู่ที่มือขวา โดยพบบาดแผลถูกยิงเข้าบริเวณขมับขวา 1นัด
ด้านภรรยา เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้ร่ำไห้แทบขาดใจ กล่าวว่า สามีเป็นคนรักครอบครัวมากมีลูกด้วยกัน
2 คน ทํางานแล้ว 1
คน และอีกคนกําลังศึกษาอยู่ต่างประเทศ ที่ผ่านมาสามีไม่เคยพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาใดๆให้ฟัง
จึงยังไม่ทราบสาเหตุในครั้งนี้
ขณะที่
พ.ต.อ.คมสันต์ สอาดล้วน รอง
ผบก.ภ.จว.ลําปาง กล่าวว่า ผู้ตายเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่มีความรับผิดชอบ
ตั้งใจทำงานเคร่งครัดมากแต่ก็ไม่เคยปรึกษาใคร
สาเหตุตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด อยู่ระหว่างการสอบสวน
จังหวัดลำปางขานรับนโยบายกระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าปฏิบัติการเข้ม “No Drugs No
Dealers” ตามแผน Re X-ray ปราบปรามยาเสพติดระดับหมู่บ้านและชุมชนทั่วทั้งจังหวัด
โดยนายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภูมิปัญญา นวตระกูลพิสุทธิ์
ผบก.ภ.จว.ลำปาง ร่วมประชุมกับนายอำเภอทั้ง 13 อำเภอ
และเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด
เพื่อร่วมป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่อย่างเข้มข้น เมื่อวันที่ 23
ก.ค.68 ที่ห้องประชุมชั้น 2 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง(เดิม)
โดยผู้ว่าราชการจังหวัด
ได้สั่งการให้ทุกอำเภอทบทวนบัญชีผู้เสพ-ผู้ค้าเดิม พร้อมเร่งค้นหาเป้าหมายรายใหม่
จัดตั้งจุดตรวจ-จุดสกัดในพื้นที่เสี่ยง ตรวจสารเสพติดผู้ต้องสงสัย
พร้อมขับเคลื่อนเครือข่ายชุมชนให้มีบทบาทในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส นอกจากนี้ ได้กำชับข้าราชการโดยเฉพาะในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
จะเข้ารับการตรวจสารเสพติดโดยสมัครใจ
เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นแก่ประชาชน
แผนดังกล่าวยังรวมถึงการ
“ขยายผล 1 ผู้เสพ ต่อ 1 ผู้ค้า” เพื่อสืบหาผู้ค้ารายย่อยและขยายผลสู่เครือข่ายรายใหญ่
โดยทุกพื้นที่ต้องรายงานผลผ่านระบบ MOI Drugs GIS พร้อมภาพถ่ายกิจกรรมเป็นประจำ โดยกำหนดช่วงวันที่ 18 ก.ค. – 1 ส.ค. 68 เป็น “สัปดาห์สีขาว” ทุกพื้นที่ต้องเร่งรัดดำเนินการอย่างเข้มข้น
เป้าหมายสูงสุดคือ “หมู่บ้านปลอดยาเสพติดอย่างแท้จริง”
ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ได้มีการกำหนดแผน 3 ระยะ ปราบยาเสพติดเข้มข้นทั่วประเทศ ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ประกอบด้วย
ระยะที่ 1 (20 ก.ค. – 1 ส.ค. 68) ปฏิบัติการเร่งด่วน ลงพื้นที่เอ็กซเรย์ชุมชน
ค้นหาผู้เสพ-ผู้ค้า รวบรวมข้อมูลเครือข่าย และดำเนินการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม
พร้อมนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัด , ระยะที่ 2 บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ตรวจซ้ำพื้นที่เดิม
คัดกรองผู้ที่อาจหลุดรอด ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน สร้าง “ธรรมนูญหมู่บ้าน” เพื่อป้องกันยาเสพติด และระยะที่ 3
ประเมินผลการดำเนินงานโดยยึดความพึงพอใจของประชาชน หากชุมชนใดปลอดผู้ค้า-ผู้เสพ
จะได้รับประกาศเป็น "ชุมชนปลอดยาเสพติด"
ทั้งนี้
หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำงานดีจะได้รับรางวัลและความดีความชอบ
ขณะที่ผู้ละเลยหน้าที่จะถูกสอบสวนและลงโทษตามความเหมาะสม