วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิวาทะ 2 บิ๊ก เทศบาล


หลังจากเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมาเกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนเข้าไปขโมยเครื่องคอมพิวเตอร์ ในส่วนกองคลัง ชั้นสองสำนักงานเทศบาลนครลำปาง ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของ นางฉวีวรรณ มะติยา เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี และ บนโต๊ะทำงานของนางวัชรี จินดามัง หัวหน้า ฝ่ายวัสดุและทรัพย์สิน รวม 2 ชุด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบทั้งประตู ทางเข้าชั้นล่าง และประตูเข้าห้องกองคลังที่เกิดเหตุ รวมทั้งโต๊ะทำงานของทั้งสองคนที่คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ไม่พบร่องรอยการงัดแงะหรือร่องรอย รื้อค้นแต่อย่างใด

ในขณะที่กล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้บริเวณห้องดังกล่าวถูกถอดออกไปอีกด้วย โดยภายหลังเกิดเหตุ นายกิตติภูมิ นามวงศ์ นายกเทศมนตรีนครลำปาง ได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่หายไปคาดว่าจะโยงใยกับเรื่องสัญญาที่มีมูลค่าสูงกว่าร้อยล้านบาทที่ไม่โปร่งใส ซึ่งหลังจากเขาเข้ามารับหน้าที่ก็ได้เข้าตรวจสอบในหลายเรื่องและพบสิ่งผิดปกติหลายอย่าง ซึ่งจะรวบรวมเอกสารทั้งหมดส่งให้ ป.ป.ช.และดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเร็วๆนี้

ลานนาโพสต์ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ จัดจ้าง ที่อาจส่อไปในทางทุจริต มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บริหารเทศบาลหลายยุคสมัย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

นายนิมิตร จิวะสันติการ อดีตนายกเทศมนตรีนครลำปางและหัวหน้ากลุ่มนครลำปาง กล่าวว่า การที่นายกเทศมนตรีนครลำปางระบุว่าคอมพิวเตอร์ที่หายไปเกี่ยวข้องกับสัญญาหลักร้อยล้านบาท เป็นเพียงเรื่องการเมืองที่ไม่ได้จากความเป็นจริง

 “คงเป็นแค่ปาหี่ทางการเมืองของนายกคนปัจจุบันเท่านั้น เนื่องจากตั้งแต่ผมเข้ามารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครลำปาง 8 ปี เทศบาลไม่มีเงินเยอะขนาดที่จะทำสัญญามูลค่าสูงขนาดนั้น เงินเหลือแต่ละปีและพอที่จะทำโครงการต่างๆได้ก็ไม่เกิน 30 ล้านบาทเท่านั้น สัญญาที่มีมูลค่ามากที่สุดคือโครงการทำตลาดหลักเมือง แต่ก็มีมูลค่า 70 ล้านบาท ไม่ถึงร้อยล้านบาทเช่นกัน”  นายนิมิตร กล่าว

ส่วนที่ระบุว่าน่าจะเกี่ยวกับโครงการกำจัดขยะของเทศบาลนั้น อยากขอให้ทุกฝ่ายเข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจัง และสืบเสาะว่าที่ผ่านมาใครที่ได้ประโยชน์จากการว่าจ้างบริษัทเก็บขยะ ตั้งแต่สมัยที่ตนเองมารับตำแหน่ง ผู้ที่ดูแลงานด้านสาธารณสุขก็คือนายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็ได้รับการประมูลเก็บขยะมาตลอดจนกระทั่งหมดสัญญาเมื่อปี 2555 และได้มีการประกาศประกวดราคาใหม่ทำให้บริษัทใหม่ได้รับการประมูลเนื่องจากราคาที่ถูกกว่าและเงื่อนไขในการจัดเก็บ รวมถึงการเสนอให้ประโยชน์กับทางเทศบาลได้มากกว่า

แต่เมื่อเริ่มทำงานได้เพียงหนึ่งเดือนและมีการส่งงานให้กับทางเทศบาลเมื่อเดือน พ.ค.2556 ในงานงวดแรก และเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจรับงานเรียบร้อย แต่เทศบาลกลับไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง ขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีกลับพยายามจะบอกเลิกสัญญา โดยอ้างว่าบริษัทผิดสัญญาการส่งมอบรถ เพื่อใช้ในการจัดเก็บขยะจำนวน 21 คัน ตามที่ระบุในสัญญา ซึ่งในเรื่องดังกล่าว บริษัทได้แจ้งให้เทศบาลทราบ พร้อมแนบเอกสารของทางบริษัทผลิตรถให้เทศบาลก่อนหน้านี้แล้ว และเทศบาลก็ไม่ติดขัด ซึ่งในเรื่องนี้นิติกรเทศบาลก็ได้ให้เหตุผลไปแล้วว่ากรณีดังกล่าวไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ เพราะบริษัทไม่มีเจตนาที่จะไม่ส่งมอบรถตามสัญญา เนื่องจากบริษัทได้ส่งมอบรถมาแล้ว19 คัน ขาดเพียงสองคันเท่านั้น จึงไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้

นายนิมิตร อธิบายว่า จนถึงปลายเดือน พ.ค. บริษัทจึงส่งมอบรถที่ขาดอีกสองคันให้ทางเทศบาลครบตามสัญญา แต่นายกเทศมนตรีก็ยังพยายามที่จะหาช่องว่างยกเลิกสัญญาโดยการออกแบบสอบถามความคิดเห็นของชาวบ้านเกี่ยวกับการจัดเก็บขยะของบริษัทฯ แต่ก็ไม่เป็นผลเนื่องจากทางบริษัททำตามสัญญาทั้งหมด และเมื่อทำงานเข้าเดือนที่สองในเดือน มิ.ย. บริษัทได้มีการส่งงานเรียบร้อย เทศบาลก็ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างอีก ซึ่งขณะนี้มีการส่งงานไปแล้วสามงวดเทศบาลก็ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้กับบริษัท แต่พยายามหาทางที่จะยกเลิกสัญญา เพื่อให้บริษัทเดิมกลับเข้ามาดำเนินงานต่อให้ได้ แม้นิติกรจะไม่เห็นด้วย และระบุว่าบริษัทดังกล่าวไม่ได้ทำผิดสัญญาและเทศบาลไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ก็ตาม

สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสองเครื่องที่หายไปนั้น นายนิมิตรกล่าวว่าสามารถสืบหาได้ไม่ยาก และที่สำคัญ ตามที่นายกเทศมนตรีระบุว่าข้อมูลในเครื่องคอมที่หายไปเป็นความลับและน่าจะเกี่ยวข้องกับสัญญาต่างๆที่ไม่ถูกต้องและไม่โปร่งใสนั้นว่า เครื่องคอมทุกตัวที่อยู่ในห้องนั้นไม่มีอะไรที่เป็นความลับเพราะเป็นเครื่องที่พนักงานเทศบาลใช้ในการจัดเก็บข้อมูล พัสดุ การทำสัญญาต่างๆ ฎีกาปกติของพนักงานหรือที่มีการตั้งเบิกทั่วไปของเทศบาลซึ่งทุกคนสามารถเปิดค้นหาข้อมูลได้ และแต่ละเครื่องไม่มีรหัสผ่าน ดังนั้นหากต้องการหาข้อมูลใดๆก็ไม่จำเป็นต้องขโมยสามารถมาเปิดและดูข้อมูลได้ทันที

ทางด้านนายกิตติภูมิ นามวงค์ นายกเทศมนตรีนครลำปาง ได้นำหลักฐานเป็นสัญญาการจ้างเก็บขนมูลฝอย ระหว่างเทศบาลนครลำปาง กับบริษัทเชียงใหม่ริมดอย ที่ได้เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.55 มาแสดงประกอบกับการให้สัมภาษณ์ “ลานนาโพสต์” ในเวลาต่อมาว่า ขั้นตอนขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.และรอการตัดสิน

“ ผมเป็นรองนายกเทศมนตรีมา 7 ปี ดูแลกองสาธารณสุข สวัสดิการและสังคม แต่นายกเทศมนตรีขณะนั้นไม่ได้มอบหมายให้ดูแลเรื่องสัญญาขยะ ซึ่งเป็นสัญญาร่วมกับบริษัท จีบีซีกรุ๊ป ยกเว้นว่าช่วงที่นายกเทศมนตรีไม่อยู่ ผมก็จะเป็นผู้รักษาการแทนเท่านั้นเพราะเป็นรองนายกฯคนที่หนึ่ง สำหรับเรื่องของการฟ้องร้องเกี่ยวกับคดีที่ผ่านมาระหว่างเทศบาลกับบริษัท จีบีซี กรุ๊ป คงจะไม่ก้าวล่วงว่าใครผิดใครถูก ขณะนี้กระบวนการทั้งหมดอยู่ที่ ป.ป.ช.แล้ว เพียงรอผลการตัดสินของ ป.ป.ช.เท่านั้น “  นายกิตติภูมิ กล่าวและว่า หลังจากที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งรองนายกฯ มีสัญญาหนึ่งที่เกิดขึ้นที่มีงบประมาณเกินร้อยล้าน คือสัญญาจ้างเก็บขนมูลฝอย คู่สัญญาระหว่างเทศบาลนครลำปาง กับบริษัท เชียงใหม่ริมดอยในวงเงิน 111.7 ล้านบาท ระยะเวลา 4 ปี 9 เดือน สัญญานี้เกิดก่อนที่จะมาเป็นนายกเทศมนตรี และมีหน้าที่ที่จะบริหารจัดการสัญญา และตรวจสอบความถูกต้อง ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดเพราะเงินจำนวนมาก ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งใคร ไม่ได้มีความสนิทสนมส่วนตัวกับบริษัทใดๆทั้งสิ้น และไม่มีการยกเลิกสัญญาใด ถ้าใครเป็นคู่สัญญากับทางเทศบาลถ้าทำถูกต้องตามระเบียบกฎหมายก็ยินดีที่ภาษีของประชาชนทุกบาทใช้อย่างคุ้มค่า แต่ถ้าสัญญาใดไม่ว่าบริษัทไหนไม่ปฏิบัติตามสัญญา หรือที่มาของสัญญาไม่ถูกต้อง ก็ต้องทำให้ถูกต้อง

กรณีที่กล่าวอ้างว่าเทศบาลไม่จ่ายค่าจ้างให้กับบริษัทนั้น นายกเทศมนตรีนครลำปาง กล่าวว่ามีเหตุผลว่าตามสัญญาทางบริษัทจะต้องส่งมอบวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมดภายในวันที่ 31 พ.ค.56 แต่คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ระบุเอาไว้ในใบตรวจการจ้างว่า บริษัทไม่ดำเนินการตามสัญญา เมื่อคณะกรรมการตรวจการจ้างชี้ความผิดของบริษัทมา จึงได้หารือไปทางนิติกรเห็นควรว่าให้หารือไปทางจังหวัดและ สตง. ขณะนี้รอการแจ้งตอบกลับมา ไม่ใช่ว่าเทศบาลจะไม่จ่ายเงิน เพียงแต่ชะลอการจ่ายเงินไว้ หากสองหน่วยงานแจ้งกลับมาว่าให้จ่ายได้ ก็จะจ่ายเงินให้กับบริษัทอย่างแน่นอน

สำหรับเรื่องการส่งมอบรถหลังจากครบสัญญาวันที่ 31พ.ค.ที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ไม่สามารถส่งมอบรถได้ตามกำหนด จึงได้สั่งปรับเป็นเงินวันละ 10,000 บาท จนถึงวันที่ 31 ก.ค. ทางบริษัทจึงได้ส่งมอบรถมาครบทั้งหมด เรื่องนี้ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการสัญญาเช่นกัน ยืนยันว่าในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ทางบริษัทไม่มีการส่งมอบรถ 19 คันอย่างแน่นอน ตอนนี้เมื่อบริษัทส่งอุปกรณ์มาครบแล้ว ก็ต้องว่ามากันในเรื่องของคุณภาพการทำงานต่อไป

ผมมีหน้าที่ที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน เพราะงบประมาณนี้สูงถึง 111.7 ล้านบาท เพื่อให้ความเป็นธรรมและโปร่งใสกับทุกฝ่าย จึงต้องให้หน่วยงานที่เป็นกลางเข้ามาตรวจสอบ คือ ป.ป.ช. และดีเอสไอ หากพบว่ามีความผิดจริงคนที่ดำเนินการในสัญญานั้นก็ต้องรับผิดชอบ ผมไม่ได้กล่าวหาใคร อย่ากินปูนร้อนท้อง ขอให้กระบวนการตรวจสอบเกิดขึ้นชัดเจนก่อนค่อยมาว่ากันว่าใครผิดใครถูก

ในส่วนของงบประมาณบริหาร งบพัฒนา ในปีนี้งบประมาณที่จะนำเข้าสภาฯ 500 กว่าล้าน เป็นงบเพื่อการลงทุนและพัฒนา 53 ล้านบาทเศษ ผมอยู่ในองค์กรนี้มาทั้งชีวิตรู้ว่าควรจะประหยัดในด้านไหนบ้าง ควรนำเงินมาทำอะไรให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด กรณีที่มีข่าวว่างบประมาณเทศบาลปีหนึ่งไม่ถึง 30ล้านบาทนั้นคงไม่ใช่ เพราะถ้ามีความตั้งใจจริงเข้ามาทำงานไม่ถึงครึ่งปี สามารถหางบพัฒนามาได้มากกว่า 30 ล้านบาท อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนที่ผ่านมาชัดเจนในที่สุดว่าควรให้ใครเป็นนายกเทศมนตรีคนต่อไป

“เรื่องบริหารจัดการของผม ขอเชิญชวนทุกภาคส่วน สิ่งไหนภายใต้การบริหารงานของผมหากพบการทุจริตคอรัปชั่นให้แจ้งดำเนินการได้ทันที และสิ่งที่ผ่านมาหากพบความไม่ชอบมาพากล นำเงินของประชาชนไปใช้ไม่เกิดประโยชน์ หรือพบการทุจริตเกิดขึ้น ผมมีหน้าที่ตามเงินภาษีของประชาชนกลับมาพัฒนาบ้านเมืองต่อไป” นายกิตติภูมิ กล่าว
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์