ตลาดหลังออมสินคึกคักเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ผู้คนมากหลาย รถราขวักไขว่ ด้วยสายตาอันฝ้าฟาง ลุงยืน
ชัยรัตน์ วัย 75 ปี นั่งมองความเป็นไปเบื้องหน้าอยู่บนรถสามล้อถีบคู่ชีพที่เก่าชราพอ
ๆ กัน
“สมัยก่อนถนนเมืองลำปางมีแต่รถม้ากับรถสามล้อถีบเท่านั้นแหละ” ลุงยืนพูดเสียงเบาคล้ายรำพึง “รถสามล้อถีบนี่มีเป็นร้อย
ๆ คัน วิ่งกันเต็มถนน”
ลองหลับตาแล้วจินตนาการไปตามภาพจำของลุงยืน
เมืองลำปางสมัยนั้นคงคลาสสิกน่าดู เรามีพาหนะที่แทบจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเลย
ทั้งจักรยาน รถม้า และรถสามล้อถีบ ผิดกับสมัยนี้
ที่นับวันพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะพากันหายไปจากท้องถนน
และที่น่าเศร้าก็คือ หายไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำ
เชื่อหรือไม่ว่า
ทุกวันนี้เมืองลำปางเหลือรถสามล้อถีบแค่เพียง 5 คันเท่านั้น ในจำนวนนี้ 2
คันจอดอยู่ตลาดหลังออมสิน ที่เหลือกระจายไปอยู่หลักเมือง 1 คัน หัวเวียง 1 คัน
และแถวร้าน ส. วิไล 999 อีก 1 คัน เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปบวกปัจจัยอีกหลายอย่าง
ทำให้คนถีบสามล้อหันมานิยมนำรถของตนไปผนวกรวมเข้ากับมอเตอร์ไซค์
กลายเป็นสามล้อเครื่องดัดแปลงที่วิ่งได้ไกลกว่า
แถมยังไม่เหนื่อยเหมือนสมัยถีบสามล้อด้วยสองน่องของตนเอง
เรื่องนี้ลุงยืนเองก็ยอมรับว่า
จากที่เคยถีบรถสามล้อไปได้ไกลถึงสถานีรถไฟ
เดี๋ยวนี้ไปแค่ห้าแยกหอนาฬิกาเท่านั้นก็เหนื่อยแล้ว ด้วยวัยที่มากขึ้น ลุงยืนจึงใช้เวลาทำงานแค่
3 ชั่วโมง ต่อวัน โดยลุงจะมาอยู่ประจำคิวตลาดหลังออมสินตั้งแต่ 07.00-10.00
นาฬิกาเท่านั้น เพื่อรอลูกค้าประจำ และอาจมีลูกค้าจรบ้าง นั่นถือว่าเป็นกำไร
ลุงยืนถีบสามล้อมาตั้งแต่อายุ
18 ปี รถคันแรกของลุงราคา 5,000 บาท ลุงผ่อนส่งวันละ 10-20 บาท
ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 3-8 บาท ลุงยืนถีบสามล้อเลี้ยงลูก ๆ 4
คนได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นนัก เพราะสมัยก่อนค่าครองชีพถูกกว่าสมัยนี้อยู่มาก
“เดี๋ยวนี้ราคาเริ่มต้นที่ 20-30 บาท เพราะเราไปไกลมากไม่ได้
บางทีราคาก็แล้วแต่ผู้โดยสารเขาจะกำหนด คนมีน้ำใจก็ให้เรามากหน่อย” ลุงยืนเล่าพลางขยับหมวกสักหลาดเพื่อเช็ดเหงื่อ “ก็พออยู่ได้นะ
ไอ้เรามันอยู่เฉยไม่เป็น” ลุงยืนหัวเราะก่อนขอตัวไปส่งลูกค้าประจำ
เป็นเวลาเดียวกับที่รถสามล้อถีบอีกคันมาจอดแทนที่
วินัย
ศรีธาวัชร์ วัย 59 ปี คนสมุทรสงคราม แต่มายึดโยงอาชีพถีบสามล้อเมืองลำปางตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2523 กำลังจอดรถคู่ใจคันแรกและคันเดียวในชีวิต รถของวินัยแม้จะเก่า
แต่ก็ยังคงเค้าความงามแบบเดิม ๆ เขาชี้ให้ดูยี่ห้อรถที่เขียนว่า “เนียตังเพียวเส็ง
วรจักร์ พระนคร”
“รถคันนี้อยู่กับผมมา 20 กว่าปีแล้ว ราคา 8,000 บาท สมัยก่อนผ่อนเดือนละ
500 บาท มีคนมาขอซื้อหลายคน แต่ผมไม่ขายหรอกครับ” วินัยยิ้มพลางโคลงศีรษะ
เขาซื้อรถต่อจากคนอื่นอีกทอดหนึ่ง แต่ก็พอรู้ว่า
รถคันนี้มีต้นกำเนิดจากย่านวรจักรในกรุงเทพฯ ก่อนจะถูกส่งมายังจังหวัดพิษณุโลก
ซึ่งเปรียบดังศูนย์กระจายรถสามล้อถีบไปทั่วภาคเหนือ โดยที่จังหวัดลำปาง
ร้านเต็กเชียงเส็งเป็นผู้แทนจำหน่าย มีอะไหล่และอุปกรณ์
รถสามล้อถีบสมัยก่อนมักถูกตกแต่งอย่างแพรวพราวเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า
วินัยบอกว่า ด้านข้างล้อหน้าจะมีไฟดวงเล็ก ๆ หน้ารถก็มีไฟส่องสว่าง
เช่นเดียวกับข้าง ๆ เบาะนั่งผู้โดยสารด้านนอก ที่จะมีไฟประดับด้วย
เพราะสมัยก่อนรถสามล้อถีบวิ่งทั้งกลางวัน-กลางคืน ทุกคันจึงมีหม้อแบตเตอรีเล็ก ๆ
ซ่อนอยู่ใต้เบาะ เพื่อปั่นไฟใช้ในรถ
หลังคาก็จะถูกพับมาด้านหลังให้ลูกค้าได้นั่งรับลมยามค่ำคืน บางคันยังมีดอกบัวเล็ก
ๆ ประดับ ไม่นับลวดลายปั๊มติดกับแผ่นทองแดงที่กรุอยู่รอบตัวรถนั่นอีก คิดดูเถิดว่า
รถสามล้อถีบสมัยก่อนนั้น จะน่ารักแค่ไหน
ตัวรถของวินัยทำด้วยไม้สัก
แม้ผุกร่อนไปบ้าง แต่ยังดูแข็งแรง โครงหลังคาเป็นไม้แบบดั้งเดิม
เบาะนั่งที่ขาดเผยให้เห็นวัสดุด้านในที่เป็นใยมะพร้าว ทำให้นั่งสบาย ไม่แข็ง
ไม่นุ่มเกินไป แต่สำหรับคนถีบ วินัยบอกว่า
การที่แฮนด์กับเบาะของคนถีบอยู่ใกล้กันมาก
ทำให้การถีบสามล้อไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด
“เคยมีผู้โดยสารขอลองถีบเล่น พอจะเลี้ยวซ้าย รถมันไม่เลี้ยวด้วย
มันกลับไปทางขวาเสียอย่างนั้น รถสามล้อนี่บังคับยากเหมือนกันนะครับสำหรับมือใหม่”
เขาหัวเราะอารมณ์ดีก่อนบอกว่า ถีบสามล้อส่งลูกเรียนจบปริญญาตรีทั้ง
3 คน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ใครได้ยินแล้ว คงอดที่จะยกย่องอาชีพเล็ก ๆ นี้ไม่ได้
จากโลกยุคเก่ามาถึงโลกยุคใหม่
ดูเหมือนวิเชียร ไชยมินทร์ วัย ๖๖ ปี จะอยู่ในช่วงรอยต่อนั้น
เขาเพิ่งนำรถสามล้อถีบไปดัดแปลงเข้ากับมอเตอร์ไซค์ เพราะลูก ๆ
ไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อเหนื่อยมากนัก
และตัวเขาเองก็ยังมีความสุขกับการไม่อยู่เฉยให้เป็นภาระต่อครอบครัว
วิเชียรถีบสามล้อมาตั้งแต่อายุ
26 ปี การเปลี่ยนรถทำให้เขาสามารถไปส่งผู้โดยสารได้ถึงสถานีขนส่ง หรือสถานีรถไฟ
โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 20-50 บาท
ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้แพงไปกว่าอัตราค่าโดยสารของรถสามล้อถีบ
เพียงแต่สามารถไปได้ไกลกว่าและไม่เหนื่อยเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้
ก็ต้องแลกกับค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายด้วย
วิเชียรมาประจำอยู่ที่คิวตลาดหลังออมสินเวลา
08.00-12.00 นาฬิกา คันอื่น ๆ ก็จอดประจำการอยู่ช่วงเวลาเดียวกันนี้
ซึ่งเป็นช่วงติดตลาดตอนเช้านั่นเอง ลูกค้าประจำเมื่อซื้อของจะทยอยหอบหิ้วมาไว้บนรถ
รอบแล้วรอบเล่า คนถีบสามล้อรอคอยจนกว่าลูกค้าจะซื้อของเสร็จ เมื่อลูกค้าก้าวขึ้นรถ
อาศัยความคุ้นเคยกันมานาน ไม่ต้องพูดต้องบอก
คนถีบสามล้อก็จะนำรถคู่ชีพของเขาไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“พวกเรารู้หมดล่ะครับว่าบ้านคนนั้นคนนี้อยู่ที่ไหน นั่งกันทุกวัน” วิเชียรพูด ลูกค้าประจำยังมีอัตราค่าโดยสารที่แตกต่าง เรียกว่าเรตพิเศษ
สำหรับซื้อใจกันโดยเฉพาะ
สายมากแล้วตลาดคงเริ่มวายในไม่ช้า
ลุงยืนนั่งพักเหนื่อย ถอดหมวกสักหลาดใบเก่งมาโบกคลายร้อน
วินัยจูงรถออกจากคิวเตรียมไปส่งของ วิเชียรติดเครื่องรถรอลูกค้าคนล่าสุด
อีกไม่นานพาหนะที่สุดแสนเรียบง่าย
ไม่ก่อมลภาวะ รับใช้ผู้คนมายาวนาน คงถึงวันที่จะต้องถอยร่นให้กับโลกที่หมุนเร็วและซับซ้อน
โลกที่ดูเหมือนไม่มีที่ว่างให้กับความเนิบช้าอีกต่อไป
(คอลัมน์ร้อยเรื่องราว ฉบับที่ 942 วันที่ 13-19 กันยากัน 2556)