แม่น้ำแยกสาย
ดาชัยแยกกอ บุกหนักการเมืองท้องถิ่น ปูทางสนามใหญ่ ไพโรจน์-กิตติกร ประสานเสียง
เลือกใครต้องเป็นคนดี นโยบายปฎิบัติได้ ชี้ข้าวนอกนา
ตั้งพรรคเองทิ้งฐานเสียงเพื่อไทย แดงเทียม ชี้โอกาสยาก พรรคเล็กได้ปาร์ตี้ลิสต์
สัญญาณความคึกคักดังขึ้น
ในท่ามกลางกระแสการเลือกตั้งท้องถิ่น
ซึ่งจะส่งผลต่อการเมืองระดับชาติอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะปรากฎการณ์ “แม่น้ำแยกสาย
ไผ่แยกกอ” ที่รุ่นเล็กอาจหาญ ข้ามชั้นชกรุ่นใหญ่
ห้วงเวลานี้ในหลายเทศบาลและ
อบต.ได้หมดวาระและมีการสมัครรับเลือกตั้งนายก และสมาชิกสภาในคราวเดียวกันกว่า 60
แห่ง โดยมีชื่อของพรรคพลังประเทศไทย ซึ่งมีนายดาชัย อุชุโกศลการ เป็นหัวหน้าพรรค
เดินหน้าสนับสนุนการเมืองท้องถิ่นหลายแห่ง
และได้ประกาศตัวส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
ในสนามเลือกตั้งเทศบาลเมืองพิชัย เมื่อวันที่ 8
ก.ย.ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าคนของนายดาชัยจะไม่ได้รับตำแหน่งนายกเทศมนตรีแต่ก็คว้าที่นั่ง
สท.ในสภามาได้ถึง 7 ที่นั่งด้วยกัน
พร้อมกันนี้นายดาชัยยังได้เปิดเผยชื่อผู้ที่เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง
ส.ส.ในนามของพรรคพลังประเทศไทยแล้วใน 2 เขตการเลือกตั้ง คือ
เขต 1 นายณฤธร ถาคำฟู
ทายาทอดีต ส.ส.ดังลำปาง และเขต 2 นายจินดา วงศ์สวัสดิ์ อดีต
ส.ส.ลำปางและนายดาชัย ยังวางตัวให้ตนเองลงสมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสด้วย
นายดาชัย
อุชุโกศลการ หัวหน้าพรรคพลังประเทศไทย
เปิดเผยว่า พรรคพลังประเทศไทยจะใช้ระบบไพรมารี่โหวต(Primary Vote)ทั้งหมด และเริ่มรับสมัครสมาชิก
ซึ่งจะมาเป็นผู้คัดเลือกคนที่จะลงสมัคร
เป็นการคัดกรองอีกทางหนึ่งเพื่อให้ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพเข้าไปทำงาน
ไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่นที่พรรคมีการเลือกเองและวางตัวผู้สมัครเอง
และขณะนี้มีผู้ที่เสนอตัวเข้ามาร่วมอุดมการณ์ในเขต 1 และเขต 2 อยู่หลายคน ซึ่งเริ่มมีการลงพื้นที่พบปะกับชาวบ้าน เพราะอีก 2
ปีข้างหน้าจะมีการเลือกตั้ง
การที่เจาะจงลงไปในพื้นที่เขต 1 เขต 2 นั้นเป็นพิเศษ เนื่องจากว่ายังพบปัญหาที่ไม่ได้มีการแก้ไขอีกหลายแห่ง
“ผมรู้ปัญหาดีกว่า
ส.ส.ในพื้นที่
จึงต้องการให้คนที่มีความรู้ความสามารถในลำปางที่ยังมีอยู่อีกมากได้มีโอกาสเข้ามาทำงานบ้าง
พรรคยินดีที่จะสนับสนุนทุกคนที่อยากจะลงสมัคร
ในส่วนของเขต 3 และเขต 4 ยังไม่มีผู้เสนอตัวเข้ามา
หากมีเราพร้อมที่จะส่งลงสมัครลงทุกเขต” นายดาชัย
กล่าวและว่า
“ผมคิดว่าทุกวันนี้คนไทยยังไม่รู้จักประชาธิปไตย
แต่ละพรรคการเมืองยังใช้ระบบนายทุนและสืบทอดทางทายาทในการคัดเลือกผู้สมัครอยู่
ถ้าพรรคการเมืองมีประชาธิปไตยจริงควรจะเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคเลือกกันเองว่าอยากได้นักการเมืองคนไหน แต่ทุกวันนี้พรรคเลือกผู้สมัคร ส.ส.
มาให้ประชาชนเลือก เช่นเดียวกับกลุ่ม นปช.
หรือคนเสื้อแดงที่มีสมาชิกทั่วประเทศ 3 ล้านกว่าคน
รวมทั้งคนเสื้อแดงลำปางเองที่เป็นสมาชิกก็ไม่เคยมีโอกาสไปเลือกประธาน”
สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคพลังประเทศไทยตั้งขึ้นชนกับพรรคเพื่อไทย
นายดาชัย กล่าวว่า พรรคพลังประเทศไทยไม่ได้มาชนใคร
แต่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนลำปาง หลายคนอาจจะมองว่าเป็นการมาท้าชนเนื่องจากว่า
ส.ส.ของลำปางเป็นของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด
อย่างที่ทราบกันดีว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย
บ้านเลขที่ 111
และ 109
ที่ปลดล็อคและกลับเข้าสู่พรรค ด้วยข้อจำกัดคือ ส.ส.ลงได้ 400 เขต ปาร์ตี้ลิส 60-70 คน อดีต ส.ส.ผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่ลงสมัครพรรคเพื่อไทยไม่ได้
ก็มีโอกาสที่จะเข้ามาอยู่พรรคพลังประเทศไทย
แต่ถึงอย่างไรถ้าพรรคเพื่อไทยทำดีอยู่แล้วคนก็เลือกพรรคเพื่อไทย
นายดาชัย
กล่าวอีกว่า ขณะนี้พรรคพลังประเทศไทยเตรียมเปิดสาขาที่ จ.อุดรธานี
จ.สมุทรปราการ จ.นครศรีธรรมราช มีสมาชิกกว่า 10,000 คน และมีผู้เสนอตัวลง
ส.ส.ในต่างจังหวัดแล้วเช่นกัน
และยังได้ทยอยเปิดศูนย์ประสานงานพรรคฯใน 13
อำเภอของลำปาง และจังหวัดใกล้เคียงด้วย
เพื่อไทย
ไม่หวั่นศึกสายเลือด
ขณะที่พรรคเพื่อไทย
เจ้าของพื้นที่เดิมที่ยังคงครองเก้าอี้ ส.ส.ได้อย่างเหนียวแน่น
กลับไม่ได้รู้สึกหนักใจกับพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่แต่อย่างใด อีกทั้งยังเห็นว่าเป็นไปได้ยากที่พรรคเล็กจะมีโอกาสเข้าไปนั่งในสภา
นายไพโรจน์
โล่ห์สุนทร อดีต รมว.มหาดไทย และส.ส.ลำปางหลายสมัย
กล่าวว่า พรรคการเมืองทุกพรรคเป็นของประชาชน ไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่ง
การที่มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่ก็เป็นเรื่องที่ดี ทำให้ประชาชนมีโอกาสเลือก
แต่การเปิดตัวพรรคการเมืองแล้วนำชื่อคนนั้นคนนี้ไปใส่ ต้องดูด้วยว่าเจ้าตัวเขาได้ยินยอมหรือไม่
ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน
เมื่อสอบถามว่าความเป็นไพโรจน์
โล่ห์สุนทร ยังมีความหมายต่อคนลำปางหรือไม่
อดีต ส.ส.หลายสมัยกล่าวว่า ชื่อของไพโรจน์ โล่ห์สุนทร
ไม่ได้สำคัญว่าจะมีความหมายต่อใคร ไม่ใช่ว่าเราจะมีความหมายต่อคนทุกคนได้ เพียงแต่ประชาชนจะเชื่อถือและมองเราอย่างไร
การที่ทายาทลงสมัครการเมืองก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาได้มีทายาทลงการเมืองและเป็นผู้แทนของประชาชนมาโดยตลอดอยู่แล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลงสมัครอีกในครั้งต่อไป
ตอนนี้ไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไร เวลาอีก 2 ปี ยังอีกยาวไกล
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชนที่จะชี้ขาดว่าใครจะเป็นผู้แทนของเขา
การที่จะตัดสินว่าใครจะได้เป็นผู้แทน เราไปกำหนดไม่ได้
ถ้าคุณเป็นคนดีประชาชนเห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทน ประชาชนก็จะเลือกเข้าไป
ซึ่งอยู่ที่ตัวผู้ที่ลงสมัครด้วยว่าเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนหรือไม่
นายไพโรจน์
ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาของการเมืองทุกวันนี้อยู่ที่คน ไม่ใช่อยู่ที่การเมือง
การเมืองจะดีได้คนก็ต้องดีก่อน หากการเมืองดี
แต่คนยังเลวอยู่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
ขณะที่นายกิตติกร
โล่ห์สุนทร อดีต ส.ส.ลำปาง
ได้ให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า ปัจจุบันการเมืองไทยแบ่งขั้วออกชัดเจนคือ
พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งต่อสู้กันทางการเมืองมายาวนาน
การที่มีพรรคการเมืองอื่นหรือพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่เพิ่มขึ้นมาคงไม่มีผลกระทบทางการเมือง
เพราะพรรคการเมืองเล็กอาจจะเข้าถึงประชาชนยาก การที่ประชาชนจะเลือกพรรคใดนั้น
ส่วนใหญ่จะมองนโยบายพรรค
และความเป็นรูปธรรมที่มีความชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งพรรคเล็กอาจจะมีแนวนโยบายที่ดี
แต่เมื่อเข้าไปในสภาแล้วอาจจะไม่สามารถนำนโยบายมาปฏิบัติได้
เพราะอย่างไรก็ต้องยึดแนวนโยบายของพรรครัฐบาล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่
สำหรับพรรคการเมืองของ
จ.ลำปางที่ตั้งขึ้นใหม่ก็อาศัยฐานเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทย
ซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มคนเสื้อแดง
การที่เขาแยกออกไปแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่เสื้อแดงที่แท้จริง ผมก็เห็นว่าเขาพยายามต่อสู้กับทุกคน
มีเวทีการเมืองไหนก็พยายามจะลงเลือกตั้งหมด อาจเป็นเพราะเขาสนใจเวทีการเมืองอยู่แล้ว
คงไม่เกี่ยวกับการแทรกแซงใคร อย่างที่กล่าวไปว่าประชาชนเข้าใจระบบการเมืองมากขึ้น
เมื่อจะเลือกใครก็จะมองที่นโยบายพรรคเป็นส่วนใหญ่
อีกประการหนึ่งที่พรรคเล็กจะเสียโอกาสคือ
การเลือกตั้งระบบปาร์ตี้ลิสจะไปเอื้อพรรคการเมืองใหญ่มากกว่า เพราะพรรคใหญ่เป็นที่รู้จักของประชาชนทั้งประเทศ ตัวอย่างกรณี คุณสุวิทย์ คุณกิตติ
เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่มีชื่อเสียง เชื่อว่าเป็นที่รู้จักมากกว่าหัวหน้าพรรคที่
จ.ลำปาง
ซึ่งได้แยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองเอง และมีฐานเสียงใหญ่ที่ จ.ขอนแก่น
แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับเลือก ส.ส.ปาร์ตี้ลิส
“แต่ที่เป็นปรากฏการณ์คือพรรคของคุณชูวิทย์
กมลวิศิษฐ์ ที่ได้รับเลือกเข้ามา 5 คน
เนื่องจากคุณชูวิทย์ได้ทำการตลาดทั้งประเทศให้ประชาชนได้รู้จัก ต้องกลับมามองว่าพรรคการเมืองที่
จ.ลำปางได้ทำแผนการตลาดเช่นนี้หรือไม่ และเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศแล้วหรือยัง หากไม่ได้ทำในส่วนนี้
ก็จะมีโอกาสได้รับเลือกตั้งน้อยมาก” นายกิตติกร กล่าว.
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)