ปี
พ.ศ. 2490 ชาวจีนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งมีพื้นเพมาจากเมืองไท้ปูอัน เมืองที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตถ้วย
จาน และชามของประเทศจีน
ได้ชักชวนกันขี่จักรยานเพื่อออกค้นหาแหล่งดินขาวในอำเภอแจ้ห่มจนเจอ
ชาวจีนกลุ่มนี้พบว่า ดินขาวที่นี่ช่างแกร่ง ทนความร้อนสูง
ให้เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นสีขาวสวย หลังจากนั้น
พวกเขาจึงได้ร่วมกันก่อตั้งโรงงานเซรามิกแห่งแรกในจังหวัดลำปาง
แล้วเมื่อข่าวการพบแหล่งดินขาวคุณภาพเยี่ยมแพร่สะพัดออกไป
โรงงานเซรามิกของชาวจีนในกรุงเทพฯ
ต่างก็พากันย้ายฐานการผลิตมาตั้งที่เมืองลำปางกันอย่างคึกคักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512
เป็นต้นมา โดยช่วงแรก ๆ อาจจะล้มลุกคลุกคลานกันอยู่บ้าง ทว่าจนถึงทุกวันนี้
ลำปางมีโรงงานเซรามิกรวม ๆ กันประมาณ 200 โรง
และเป็นเมืองที่น่าจะถูกนึกถึงก่อนใคร หากมีการเอ่ยถึงคำว่า เซรามิก
จากเหตุการณ์นี้
คนทั่วไปอาจคิดว่า
ประวัติการทำเซรามิกเมืองลำปางคงเริ่มมีขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวนั่นเอง
แต่ในความเป็นจริง ดร. เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์
ให้ข้อมูลที่น่าสนใจไว้ในคอลัมน์ปริศนาโบราณคดีของมติชนสุดสัปดาห์ว่า
มีการค้นพบเซรามิกสมัยล้านนาชิ้นสำคัญจาก 2 แห่ง แห่งแรก คือ
ช่อฟ้าประดับวิหารของวัดพระธาตุเสด็จ
ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน
และอีกชิ้นหนึ่ง คือ งานดินเผาปั้นรูปกินรี หงส์ และสัตว์หิมพานต์รอบ ๆ
ซุ้มประตูโขงของวัดไหล่หินหลวง
ดินเผาเคลือบเซรามิกทั้ง
2 แห่งนี้ มีอายุประมาณ 400 ปี และอาจกล่าวได้ว่า
นี่คือต้นแบบของเซรามิกเมืองลำปาง เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญยืนยันว่า
เมืองลำปางกับเซรามิกนั้น มีอยู่คู่กันมาเนิ่นนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม
สำหรับมุมมองพื้น ๆ ที่มองเซรามิกเป็นเรื่องใกล้ตัว
ใกล้ชิดกับเราทุกวันบนโต๊ะอาหาร คงหนีไม่พ้นนิยามของชามตราไก่
ชามตราไก่เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ชาวจีนกลุ่มดังกล่าวใช้ดินขาวจากเมืองลำปางเนรมิตมันขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง
กระทั่งกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ว่ากันว่า ชามตราไก่แท้ ๆ นั้น
เป็นชามที่เหมาะสำหรับการใช้ตะเกียบพุ้ย เดิมทีมี 4 ขนาด คือ ขนาดปากกว้าง 5-6
นิ้ว ซึ่งในในบ้านและร้านข้าวต้มชั้นดี ส่วนขนาด 7-8 นิ้ว สำหรับจับกังที่กินจุ
ชามตราไก่ดั้งเดิมต้องมีรูปทรงแปดเหลี่ยมเกือบกลม
ปากบาน ข้างชามด้านนอกมีรอยบุบเล็กน้อยรับกับเหลี่ยม
และเพื่อให้รับกับปลายนิ้วคนถือ ขามีเชิง วาดลวดลายด้วยมือเป็นรูปไก่
ขนคอและลำตัวสีแดง หางและขาสีดำ เดินอยู่บนหญ้าสีเขียว มีดอกโบตั๋นสีชมพูออกม่วง
ใบสีเขียวตัดเส้นด้วยสีดำอยู่ด้านซ้าย มีต้นกล้วย 3 ใบ
สีเขียวตัดเส้นด้วยสีดำอยู่ด้านขวา บางใบมีค้างคาวห้อยหัวอยู่ฝั่งตรงข้ามกับไก่
มีดอกไม้ ใบไม้เล็ก ๆ แต้มอยู่ก้นชามด้านใน
จึงไม่แปลก
หากเราจะเห็นว่า บางบ้านเก็บชามตราไก่โบราณของแท้ไว้เป็นคอลเล็กชัน
จัดเรียงรายไว้ในตู้โชว์ แล้วหากได้ลองสัมผัสด้วยการใช้นิ้วมือลูบไปมาที่ลวดลาย
จะรู้สึกได้ถึงความหยาบ
ไม่ใช่เรียบเนียนเช่นงานพิมพ์เหมือนชามตราไก่ที่วางขายอยู่ดาษดื่น
นี่คือเสน่ห์ของชามตราไก่ที่แท้จริง ปัดฝุ่นเสียหน่อยมันก็ดูคล้ายกับงานศิลปะดี ๆ
นี่เอง
แม้ว่ากลไกของตลาดที่เน้นของถูกขายง่าย
จะผลักไสให้ชามตราไก่ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบเดิม ๆ และวาดลวดลายด้วยมือ
ให้ขายยากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากราคาที่สูงลิบ
แต่ก็น่าดีใจที่ยังมีโรงงานเซรามิกบางโรงในเมืองลำปางไม่คิดจะปรับเปลี่ยนลวดลายไปเป็นอื่น
ยังคงยึดมั่นในรูปแบบดั้งเดิมของชามตราไก่แท้ ๆ ซึ่งมีต้นแบบมาจากเมืองจีน
เช่นนี้
อาจสรุปง่าย ๆ ได้ไหมว่า ครั้งหน้าหากคุณซื้อชามตราไก่แบบ 3 ใบร้อย
นั่นหมายความว่า คุณต้องการภาชนะสำหรับใส่อาหาร แต่หากคุณตัดสินใจซื้อชามตราไก่ใบละเกือบ
200 บาท นั่นคือ คุณกำลังซื้องานศิลปะ และขอให้ใช้มันอย่างรื่นรมย์เถิด
(คอลัมน์ร้อยเรื่องราว ฉบับที่ 942 วันที่ 13-19 กันยากัน 2556)