มนุษย์เราผูกพันกับต้นไม้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เราต่างซาบซึ้งในบุญคุณของมัน และถูกปลูกฝังกันมาว่า
การปลูกต้นไม้คือสิ่งสำคัญที่ควรทำในชีวิต
ทว่าน่าเศร้าสำหรับต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ผู้คนพากันเข็ดขยาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งล่วงเข้าฤดูหนาว ที่ดอกของมันจะส่งกลิ่นฉุนรุนแรงชวนให้วิงเวียนยิ่งนัก
ต้นพญาสัตบรรณ หรือต้นตีนเป็ด (Alstonia
scholaris) เป็นพรรณไม้ที่จัดอยู่ในวงศ์โมก
ส่วนใหญ่อยู่ในเขตศูนย์สูตร ทั่วโลกมีประมาณ 1,700 ชนิด ในภาคเหนือมี 10 สกุล 19
ชนิด ประโยชน์ส่วนใหญ่มักจะปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะดอกเด่นงดงาม แต่ก็มีหลายชนิดที่มีพิษ
ขณะที่หลายชนิดมีคุณค่าทางยา
คนไทยโบราณเชื่อว่า
บ้านใดปลูกต้นพญาสัตบรรณไว้จะดี มีคนยกย่อง พญาสัตบรรณจึงเป็นไม้มงคลนาม
หนำซ้ำยังเติบโตเป็นพุ่มคล้ายฉัตรที่เป็นของสูงอีกด้วย ความที่เป็นต้นไม้โตเร็ว
ให้ร่มเงาดีมาก และราคาถูก จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศ
นับเป็นต้นไม้ที่หน่วยงานราชการมักนึกถึงและนำมาใช้ในการรณรงค์ปลูกป่า
ปลูกเป็นแถวเป็นแนวไปทั่วเมือง รวมถึงโครงการบ้านจัดสรรต่าง ๆ
ก็ให้ความสนใจต้นไม้ชนิดนี้กันไม่น้อย
ความรื่นรมย์จากร่มเงาของต้นพญาสัตบรรณพลันสะบั้นลงราวปลายเดือนตุลาคม
เมื่อดอกสีขาว
หรือเขียวอมเหลืองต่างพร้อมใจกันแตกแขนงออกที่ปลายกิ่งก้านบานเต็มต้น
ส่งกลิ่นกำจายไกลนับกิโลเมตร บางคนว่ากลิ่นของมันร่ายมนตร์ให้ชวนหลงใหล
บางคนกลับนึกสาปแช่งคนปลูกว่าทำลูกเล็กเด็กแดงและคนเฒ่าชราในบ้านล้มป่วย
กลิ่นดอกพญาสัตบรรณจัดอยู่ในกลุ่ม Green
and Narcotic note ความฟุ้งกระจายของกลิ่นได้มาจากสารกลุ่ม Hexenyl
acetate และ Hexenol อันเป็นกลิ่นที่คล้ายหญ้าเพิ่งตัดใหม่
และอาจจะมีสารกลุ่ม indole, salicylate และ cresol บางตัว ซึ่งสารกลุ่มนี้เองเป็นต้นเหตุให้ผู้คนออกอาการต่าง ๆ ทั้งสงบ
เคลิบเคลิ้ม มึนงง แม้กระทั่งซึมเศร้า
ในทางการปรุงน้ำหอม note
ชนิดนี้มีโอกาสที่จะมีมูลค่าสูง
เนื่องจากความสามารถในการฟุ้งกระจายที่ดี
มีการวิเคราะห์รายละเอียดของกลิ่นดอกพญาสัตบรรณว่า กลิ่นแรกสัมผัสจะเป็นกลิ่นเขียว
ๆ คล้ายใบไม้ กลิ่นกลางจะแสดงเอกลักษณ์ความเป็น Narcotic note ด้วยลักษณะคล้ายกลิ่นกำยาน กลิ่นไม้เก่า ๆ เปียกน้ำ
และกลิ่นยางของเถาไม้ที่ถูกขยี้จนแหลกละเอียด
กลิ่นสุดท้ายคือกลิ่นสาบของซากพืชที่ถูกหมักหมม
เหล่านี้ล้วนสร้างสัมผัสถึงความโบราณ มายา และความลึกลับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ
นี้ชาวพิษณุโลกต่างออกมาเรียกร้องให้ทางจังหวัดจัดการกับต้นพญาสัตบรรณที่ส่งกลิ่นฟุ้งจนเดือดร้อนกันไปทั่วเมือง
ด้านชาวลำปางเราได้รับผลกระทบจากกลิ่นของต้นพญาสัตบรรณมานานแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวค่ำไปจนถึงรุ่งเช้าที่กลิ่นดอกจะยิ่งทวีความรุนแรง
เมื่อปีก่อนชาวบ้านริมแม่น้ำวังบริเวณสะพานหลังจวนผู้ว่าฯ
ต่างพากันลงชื่อเรียกร้องให้ทางเทศบาลมาตัดต้นพญาสัตบรรณที่ปลูกเรียงรายไว้ริมแม่น้ำโดยด่วน
เพราะกลิ่นของมันทำเอาคนในย่านนั้นไม่สบาย วิงเวียนพานจะเป็นลม
อีกทั้งเกสรที่ฟุ้งกระจายยังส่งผลต่อคนเป็นภูมิแพ้อีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องนี้งานสวนสาธารณะฯ
ชี้แจงว่า พญาสัตบรรณเป็นต้นไม้ที่ปลูกตามโครงการป่าของเมือง ซึ่งมีอายุประมาณ 10
ปี ในช่วงเวลาดังกล่าวต้นพญาสัตบรรณกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะโตเร็ว ให้ร่มเงาดี
โดยไม่คำนึงถึงเรื่องกลิ่นของดอกว่าจะรุนแรง
แต่ปัจจุบันทางจังหวัดก็มีนโยบายให้ตัดแต่ง หรือหาต้นไม้ที่เหมาะสมมาปลูกทดแทนแล้ว
ส่วนบางบ้านที่ปลูกต้นพญาสัตบรรณ
พอถึงช่วงที่มันบานดอกเต็มต้นก็มีอันต้องจ้างคนมาตัดออกเสีย
ซึ่งเรามักพบเห็นกันอยู่บ่อย ๆ อันที่จริงนอกจากกลิ่นรบกวน
ต้นพญาสัตบรรณยังโตเร็วมาก มีระบบรากใหญ่ที่ชอนไชไปได้ไกลถึง 20-30 เมตรเลยทีเดียว
ดังนั้น มันจะเซาะทำลายฐานรากของบ้าน งัดเอารั้วพังมานักต่อนัก
รวมถึงทางเดินเท้าที่ปูอิฐบล็อกเรียบสวยก็ปูดโปนแตกร้าว กล่าวกันว่า
การลงทุนปลูกต้นพญาสัตบรรณใช้เงินแค่ไม่กี่ร้อยบาท
แต่ค่าใช้จ่ายในการขุดต้นพญาสัตบรรณที่โตเต็มที่ชนิดใหญ่มโหฬารแบบถอนรากถอนโคนต้องใช้เงินถึง
40,000-50,000 บาท
จึงมีคนเสนอให้เทศบาลหันมาปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสวย
(และแน่นอนว่าต้องไม่มีกลิ่น) อย่างต้นเหลืองอินเดีย
หรือต้นไม้ชนิดอื่นที่มีการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านแล้วว่าจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ
เพื่อเป็นที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัด แล้วจัดส่งเสริมเรื่องท่องเที่ยวไปด้วยพร้อม ๆ
กัน เป็นอันจบแบบสวย ๆ ไม่จบแบบแย่ ๆ
เหมือนต้นพญาสัตบรรณที่โดนข้อหาส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการถูกตัดจนเหี้ยน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 953 วันที่ 22 - 28 พฤศจิกายน 2556)