ร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่หลุดพ้นมาในช่วงค่ำคืนของวันฮาโลวีน คืนวันปล่อยผี
หลายคนเรียก ว่าพ.ร.บ.ข่มขืน เหตุเพราะผ่านวาระ 3 ในยามวิกาล
ซึ่งผลที่ตามมาทั้งในโลกโซเชียลมีเดีย และเครือข่ายข่าวทุกสำนักเช้าวันที่ 1
พฤศจิกายน ได้แพร่สะพัด และทำให้เกิดการรวมตัวเพื่อต่อต้าน
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยนี้ทั่วประเทศ
ร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักการ
มีลักษณะขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม
เป็นช่องทางให้เกิดการคอรัปชั่นมากขึ้นในสังคมไทย อีกทั้งเป็นการบั่นทอนกำลังใจ
คนดีมีคุณธรรม และลดทอนคุณค่าของคุณงาม ความดี
เรียกได้ว่าเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งสำหรับประเทศชาติในอนาคต
รัฐที่ดีต้องปกครองด้วยกฎหมายมิใช่มนุษย์
และไม่ใช่ปกครองด้วยกฎหมายซึ่งมาจาก “เสียงข้างมาก” ที่ไม่ได้สะท้อนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
หากมุ่งหมายเพื่อตนเองและพวกพ้อง
ในขณะเดียวกันอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารตามหลักการที่ถูกต้องได้
ในแง่ของความเป็นธรรม หรือหลัก “นิติธรรม” ซึ่งหมายถึงความเป็นธรรมที่มีอยู่ในกฎหมาย
เป็นกฎ ระเบียบ แบบแผนที่สังคมยอมรับ และยินยอมพร้อมใจปฎิบัติตาม
เมื่อพิจารณาประกอบกับเนื้อหาและเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้แล้ว เห็นว่าขัดกับหลักการทั้งเรื่อง
นิติรัฐ และนิติธรรมอย่างสิ้นเชิง
เมื่อกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์
คนทำผิดกฎหมาย ทั้งที่มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว
หรืออยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา
สามารถที่จะยกเลิกเพิกถอนคำพิพากษานั้นได้ในภายหลัง
หรือพ้นไปจากข้อกล่าวหาโดยยังไม่มีการพิสูจน์ความผิดใดๆ
การปฎิบัติตามกฎหมายก็จะไม่สำคัญอีกต่อไป อำนาจตุลาการ
ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดโดยหลักการ ที่จะเป็นหลักประกันว่า
บุคคลทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และหากกระทำความผิดไม่ว่าคดีแพ่ง หรืออาญา
ก็จะต้องได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยศาลเดียวกัน อย่างเสมอหน้ากัน ก็จะไม่สามารถเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนได้อีก
มติจากเสียงข้างมาก
แต่หากไม่ได้อยู่บนหลักการและพื้นฐานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ก็ไม่สามารถรับรองความถูกต้องตามหลักการของการตรากฎหมายที่จะต้องคำนึงถึงหลักนิติธรรม
และไม่สามารถที่จะอ้างความชอบธรรมได้
หลายคนอาจจะมองว่าธงชัยไม้เด็ดของการปัดร่าง พ.ร.บ.นี้
อยู่ในอำนาจของวุฒิสภาที่รัฐบาลไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปชักจูงได้
แต่การยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของวุฒิสภาอาจไม่เป็นเหตุให้กฎหมายตกไป
ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างเดิมมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
นั่นหมายความว่ายังมีความเป็นไปได้หากที่
พ.ร.บ.นี้จะเดินทางไปถึงธงที่ปักไว้
และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนไทยทุกกลุ่มลุกขึ้นมาเป่านกหวีด
รวมตัวชุมนุมต่อต้านเพื่อไม่ให้ พ.ร.บ.สุดซอยเดินสู่จุดหมายปลายทางที่ฝันไว้
ล่าสุดที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติถอนร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและปรองดองแห่งชาติทั้ง 6 ฉบับ
หลังเกิดกระแสต่อต้านหนักโดยนายกฯแถลงยืนยันพ้น 180 วัน
จะไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีก
ถึงแม้ว่าตอนนี้รัฐบาลจะยอมถอย
แต่หลายฝ่ายก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นห่วงบ้านเมืองว่าอาจจะการมีสับขาหลอก
ถอยทัพเพียงเพื่อให้เหตุการณ์สงบดีกว่าดื้อดึงจนพังพินาศกันทุกฝ่าย
แต่หากมองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในห้วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมา
ตั้งแต่ พ.ร.บ.ข่มขืน ถูกปล่อยออกมานั้น
เราได้เห็นการรวมตัวของคนไทยที่ออกมาต่อต้านอย่างสงบ
ซึ่งนั่นยังหมายถึงความปรองดองที่ไม่เคยจางหายไปจากคนไทย
แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่อาจวางใจได้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 951 วันที่ 8 - 14 พฤศจิกายน 2556)