บริเวณถนนหน้าโรงเรียนลำปางกัลยาณีที่พลุกพล่าน
ชายสูงวัยนั่งอยู่ริมถนนเงียบ ๆ กับจักรยานสีดำคันเก่าคร่ำคร่า
มองฝ่าเปลวแดดระอุและรถราวุ่นวาย ในใจคิดแต่เพียงว่าวันนี้จะมีงาน
มีเงินกลับบ้านหรือไม่
หลายคนคงเคยเห็นภาพชายชาวบ้านจอดรถจักรยานเรียงกันอยู่ริมถนนบริเวณหน้าโรงเรียนลำปางกัลยาณีกลุ่มหนึ่ง
บริเวณสี่แยกโรงเรียนมัธยมราษฎร์เก่าอีกกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งกลุ่มหลังนี้ส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไซค์กันหมดแล้ว
บางวันก็เห็นขี่จักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์เรียงกันไปบนถนน
ด้านหลังบรรทุกอุปกรณ์ทำสวนนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นงอบ ปุ้งกี๋ จอบ พลั่ว ค้อน ขวาน
มีด เชือก ฯลฯ ในขณะที่ตะกร้าด้านหน้าใส่สัมภาระส่วนตัวอย่างน้ำดื่ม
กับข้าวมื้อกลางวัน เสื้อ หรือหมวก
ทุกเช้าตั้งแต่เวลา
07.00 นาฬิกา ผู้ชายเหล่านี้จะขี่จักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ มาจอดริมถนน
จากนั้นก็เริ่มต้นการรอคอยให้ใครสักคนที่ต้องการแรงงานมาว่าจ้าง
ไม่ว่าจะเป็นงานขุดดิน ถางหญ้า ตัดต้นไม้ และอีกสารพัดที่ทำไหว
ยกเว้นงานฉาบงานก่อเท่านั้นเองที่จำต้องปฏิเสธ
เพราะงานประเภทนี้ต้องอาศัยทักษะทางเชิงช่างอยู่พอสมควร
“ไม่ใช่ทุกวันหรอกที่จะมีงาน”
ชายสูงวัยพูดเนิบ ๆ “บางวันสองสามวันโน่นแหละ
กว่าจะได้งาน”
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น
เขาก็ยึดอาชีพรับจ้างทั่วไปนี้มานานมากกว่า 20 ปี
จักรยานคันนี้ก็อยู่กันมาตั้งแต่แรก
เป็นจักรยานคู่ใจที่ขี่จากบ้านมาไม่ต่ำกว่า
10 กว่ากิโลเมตร ใครมาว่าจ้างถ้าใกล้จะขี่จักรยานไป
ไกลเกินขี่ไม่ไหวเขาก็เอารถมารับไปทำงาน โดยค่าจ้างจะคิดแบบเหมา ไม่ใช่รายวัน
และไม่มีการแย่งงานกัน อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีการจัดคิว ไม่มีหัวหน้าคิว
ใครอยากมารับจ้างดูบ้างก็ขี่รถพร้อมเตรียมอุปกรณ์มาเข้ากลุ่มได้เลย
การรับจ้างทั่วไปในรูปแบบนี้ดูเหมือนว่าจะมีให้เห็นแต่เฉพาะบ้านเรา
กล่าวกันว่า ผู้บุกเบิกอาชีพรับจ้างทั่วไปในยุคแรก ๆ คือกลุ่มชาติพันธุ์ “ขมุ”
ในอดีตยุคที่เมืองลำปางยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูด้วยการทำไม้
ชาวขมุนี้เองคือฟันเฟืองเล็ก ๆ
ที่ใช้แรงงานในการขับเคลื่อนด้วยการเข้ามารับจ้างทำงานในป่า โดยส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองหลวงพระบางและหลวงน้ำทาใน
สปป. ลาว นับเป็นชาวป่าที่มีความชำนาญในการทำงานป่าไม้ บวกกับอุปนิสัยซื่อสัตย์
ขยันขันแข็ง และประหยัดอดออม
ทำให้นายห้างป่าไม้ฝรั่งทางภาคเหนือนิยมจ้างชาวขมุมาทำงานมากกว่าชาวพื้นถิ่นเหนือที่มักจะเมินหน้าหนีงานหนักกับค่าแรงอันน้อยนิด
ทว่าชาวขมุไม่คิดเช่นนั้น เพราะพวกเขามักน้อย
ฝรั่งบางคนจึงเต็มใจที่จะจ้างชาวขมุไว้ทำงานในบ้านด้วย
การจัดหาชาวขมุจะทำผ่านนายหน้าที่เรียกกันว่านายฮ้อย
โดยนายฮ้อยจะส่งคนไปติดต่อชักชวนชายชาวขมุจาก สปป. ลาว มาทำงานป่าไม้ ทั้งนี้
ชาวขมุถือว่าการมาทำงานที่เมืองไทยนั้นเป็นความมีหน้ามีตาอย่างหนึ่ง
โดยจะมีการตกลงค่าจ้างกันและทำสัญญา 3-4 ปี
ด้านการกินอยู่และเวลาป่วยไข้นายฮ้อยจะเป็นคนดูแล นอกจากนี้
ยังเป็นคนรับค่าจ้างและเก็บไว้ให้ เมื่อหมดสัญญาชาวขมุจะกลับบ้านพร้อมเงินมากมาย
อันเป็นผลมาจากการมัธยัสถ์ของพวกเขานั่นเอง
หลังการยกเลิกสัมปทานป่าไม้
ชาวขมุหลายครอบครัวพากันลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองลำปาง ไม่ได้หวนคืนสู่บ้านเกิด
และต่อมาพวกเขาคือจุดเริ่มต้นของอาชีพรับจ้างทั่วไปในรูปแบบนี้
เที่ยงแล้วหลายคนเริ่มลุกขึ้นมาตระเตรียมข้าวกลางวัน
บางคนขี่รถไปเข้าห้องน้ำที่วัดศรีชุม ขณะที่ยังคงไร้วี่แววของการว่าจ้าง
การรอคอยอันยาวนานจะสิ้นสุดลงในเวลา 14.00 นาฬิกา
พร้อมกับเงินในกระเป๋าที่ไม่ได้งอกเงย แต่แล้วทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่ในวันพรุ่งนี้
ไม่เว้นแม้แต่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะมีก็แต่วันฝนตกหนัก
หรือช่วงเทศกาลวันหยุดยาวเท่านั้น ที่เป็นวันหยุดสำหรับพวกเขา
ชายสูงวัยนั่งลงกินข้าวข้างรถจักรยานคันเก่า
แดดจัดจ้า รถราขวักไขว่ ผู้คนมากหลาย แต่อาจไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาด้วยซ้ำ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 951 วันที่ 8 - 14 พฤศจิกายน 2556)