วัดม่อนพระยาแช่ ตำบลพิชัย อำเภอเมืองฯ
จังหวัดลำปาง กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หลังกลุ่มคนสร้างฝายจากหลากหลายสังกัดทยอยเดินทางกลับ
คงเหลือเพียงท่านเจ้าอาวาส-พระครูวอ อติธฺมโม พระลูกวัด กับผู้ชายอีกคนเท่านั้น
เสกสรรค์ แดงใส
อาศัยอยู่ที่วัดมานานสักระยะหนึ่งแล้ว
อดีตอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ของวิทยาลัยอาชีวะศึกษาลำปาง
เดินออกจากห้องเรียนสี่เหลี่ยม แล้วพาตัวเองมาสู่ห้องเรียนธรรมชาติ
ที่ทำงานใหม่ของเขามีพื้นที่กว้างกว่า 2,500 ไร่ บนดอยที่ชื่อว่าม่อนพระยาแช่
พร้อมกับริเริ่มโครงการ “เฮาฮักม่อนพระยาแช่”
ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการทรงงานและพระราชดำริต่าง ๆ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โครงการเฮาฮักม่อนพระยาแช่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2552 ด้วยแนวคิดว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ป่าสมบูรณ์ ผ่านการลองผิดลองถูก
โดยเริ่มจากการปลูกต้นไม้ ทว่าต้นไม้ไม่อาจเติบโตได้หากป่าแล้ง
เสกสรรค์จึงมองไปที่น้ำ และการสร้างฝายก็ดูเหมือนจะเป็นการรักษาน้ำไว้ได้มากที่สุด
“การสร้างฝายต้องทำจากจุดสูงสุดก่อน
พระองค์ท่านทรงบอกไว้ครับ” เสกสรรค์ว่า ซึ่งก็จริง
ป่าม่อนพระยาแช่ถือเป็นป่าต้นน้ำสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง
เป็นป่าใกล้เมืองที่อยู่ห่างจากถนนซูเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-งาวแค่ราว 4.8 กิโลเมตร
น้ำจากป่าม่อนพระยาแช่ส่วนหนึ่งไหลไปลงแม่น้ำวัง และใครจะรู้ว่า
ป่าผืนนี้มีฝายอยู่ถึง 600 ตัว
อันเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของแนวร่วมโครงการเฮาฮักม่อนพระยาแช่ ทั้งนักเรียน
นักศึกษาจากสถาบันต่าง ๆ รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีจิตอาสา
ประโยชน์ของฝายก็คือ
ช่วยชะลอน้ำให้ซึมลงไปเก็บไว้ในภูเขา
เป็นการลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่ห้วยหลักในทันที
เพราะน้ำจะถูกเฉลี่ยเก็บไว้ตั้งแต่ยอดดอยด้วยฝายแต่ละตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความชุ่มชื้นอย่างทั่วถึงตั้งแต่ยอดดอยไปจนถึงตีนดอย
ฝายของโครงการเฮาฮักม่อนพระยาแช่เป็นฝายที่เสกสรรค์ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับพื้นที่และวัสดุอุปกรณ์ที่มี
โดยหินและปูนจะแล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีใครบริจาคหรือไม่ ส่วนดิน ทราย ไม้ไผ่
หาเอาจากในป่า แม้แต่จีวรพระที่ท่านไม่ใช้แล้ว ยังนำมาทำเป็นเชือกมัดไม้ไผ่แทนลวดได้
หรือนำมากางกั้นการพังทลายของตัวฝายก็ได้ผลดี
แต่ก็อีกนั่นแหละ
ความแห้งแล้งนอกจากจะแก้ปัญหาด้วยการสร้างฝายเพื่อคงความชุ่มชื้นให้ผืนป่าแล้ว
ไฟป่ายังเป็นตัวการสำคัญที่เผาผลาญป่าให้หายไปได้พริบตาเพียงชั่วข้ามคืน
แล้วผลที่ตามมาก็คือหมอกควันที่บ้านเราต้องเผชิญกันทุกฤดูแล้ง
โครงการเฮาฮักม่อนพระยาแช่จึงมีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับ
“ฝาย” และ “ไฟ” คือทั้งสร้างฝายและดับไฟป่า
โดยเสกสรรค์ได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ด้วยความหวัง ซึ่งก็คือเหล่านักเรียน นักศึกษา
ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มใจออกมาเรียนรู้โลกกว้าง ให้พวกเขาได้ลงมือสร้างฝาย
ถอดรองเท้าเดินย่ำดิน มือสัมผัสน้ำใสเย็น แวดล้อมด้วยเงาต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น
แล้วรอคอยวันที่ผืนป่าม่อนพระยาแช่ค่อย ๆ
กลับมาอุดมสมบูรณ์อย่างภาคภูมิใจที่ตนเองก็มีส่วนร่วมด้วยช่วยกัน
ปีนี้ชาวบ้านบอกว่า ม่อนพระยาแช่เป็นที่หาอยู่หากินได้สบาย
อาจเพราะฝายที่กระจายอยู่ทั่วป่าเริ่มให้ผล ทั้งเห็ด หน่อไม้ หรือแม้แต่อึ่ง
ทั้งนี้ ทุกคนต่างมีสิทธิ์ในผลิตผลของผืนป่าภายใต้คำว่าหากินเท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจ
และทุกคนก็ควรจะมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาเช่นกัน
“เหมือนผมจะทำสวนมะม่วงนั่นแหละครับ”
เสกสรรค์ยกตัวอย่าง “ผมถามคุณว่าอยากกินไหม
ถ้าคุณบอกอยากกิน คุณก็ต้องมาช่วยผมดูแล แล้วถ้าเราช่วยกันทะนุถนอมต้นมะม่วงมานาน
จู่ ๆ มีคนอื่นมาแอบขโมย หรือโค่นต้นมะม่วงของพวกเราไป เราก็คงไม่ยอม”
แม้โครงการเฮาฮักม่อนพระยาแช่จะดำเนินไปอย่างเข้มข้น
ชนิดที่มีการสร้างฝายกันทุกอาทิตย์ แต่เสกสรรค์ก็ยังยืนยันว่า
จิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ของคนลำปางยังมีน้อยมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า
บ้านเรามีโครงการปลูกป่ามากมาย แต่ทำไมสภาพป่าจึงไม่ดีขึ้น
การทำลายป่ายังมีอยู่เช่นเดิม
“เพราะจิตวิญญาณมันไม่มีน่ะสิครับ”
เสกสรรค์ว่า
บริเวณฝายกึ่งถาวรแบบคอกหมู 3
ชั้นเงียบเชียบ ต่างจากเมื่อเช้าที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจิตอาสา หลายคนมาแล้วจากไป
เหลือเพียงคนอยู่ที่คอยดูแล ซ่อมสร้าง และคิดถึงหนทางที่จะสร้างฝายครั้งต่อไป
บนยอดดอย
คนกลุ่มหนึ่งกำลังสร้างฝายและดับไฟด้วยหัวใจที่พองโต ต่ำลงมาในเมือง
คนอีกกลุ่มยังตัดต้นไม้เพื่อปลูกบ้าน จุดไฟเผาใบไม้กับเศษหญ้า ฯลฯ
ระหว่างเมืองกับป่าม่อนพระยาแช่ห่างกันไม่กี่กิโลเมตร
แต่ช่างราวกับว่าคนเหล่านี้อยู่กันคนละโลก