เป็นเวลากว่า
5 ปีที่โครงการเปิดสวิตช์หัวใจ อันเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลลำปางกับโรตารีสากลภาค
3360 ได้เปิดรับเงินบริจาคเพื่อจัดสร้างศูนย์ผ่าตัดหัวใจโรงพยาบาลลำปาง
เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา โดยดำเนินการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์สำหรับใช้ผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างเต็มรูปแบบ
34 รายการ เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดในจังหวัดลำปางและภาคเหนือตอนบนทั้ง
8 จังหวัดแบบครบวงจร
หลังจากสิ้นสุดโครงการไปเมื่อไม่นานนี้
ปรากฏว่ายอดเงินซึ่งส่วนหนึ่งมาจากงบของรัฐบาลกับอีกส่วนหนึ่งมาจากการบริจาคของพี่น้องประชาชนชาวลำปาง
รวมแล้ว 80
กว่าล้านบาท ในจำนวนนี้ทางโรงพยาบาลลำปางนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ด้านการรักษาโรคหัวใจ
ที่เรียกได้ว่าทันสมัยไม่แพ้โรงพยาบาลอื่นใด เงินส่วนที่เหลือนำไปจัดตั้งมูลนิธิโรคหัวใจ
เพื่อต่อยอดการดำเนินงานด้านนี้ในอนาคต
ศูนย์โรคหัวใจโรงพยาบาลลำปางตั้งอยู่บนชั้น
3 ของอาคารใหม่ หรือตึกอุบัติเหตุ
เริ่มดำเนินการผ่าตัดหัวใจให้ผู้ป่วยรายแรกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2553 จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ทีมแพทย์ผ่าตัดผู้ป่วยไปแล้วประมาณ 1,500 ราย ศูนย์โรคหัวใจฯ ยังให้บริการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด
การฉีดสีเข้าหลอดเลือดหัวใจ ผ่าตัดลิ้นหัวใจ ผ่าตัดหัวใจเด็กชนิดซับซ้อน
ซ่อมลิ้นหัวใจ บายพาสแบบไม่หยุดหัวใจ ซึ่งปกติทำได้ยาก ผ่าตัดแบบแผลเล็ก
ไม่เปิดแผลใหญ่ ตลอดจนสามารถผ่าตัดโรคหลอดเลือดแดงใหญ่ได้
โดยมีอัตราการเสียชีวิตเพียง 2-3 % ซึ่งถือว่ามาตรฐาน โดยทางศูนย์โรคหัวใจฯ
มีห้องไอซียูที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทันสมัยจำนวน 12 เตียง
ห้องผ่าตัดหัวใจ 2 ห้อง และห้องผู้ป่วยสามัญ 30 เตียง ความทันสมัยของอุปกรณ์ทางการแพทย์ทำให้ศูนย์โรคหัวใจฯ
ของเราเป็นศูนย์โรคหัวใจระดับ 1 ของโรงพยาบาลที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข
คือ เป็นศูนย์โรคหัวใจที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดได้และฉีดสีหัวใจได้
และส่งผลดีแก่ผู้ป่วยในแง่ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ (ปกติค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดไม่ต่ำกว่า
1-2 แสน)
สำหรับการเปิดศูนย์โรคหัวใจฯ
อย่างเป็นทางการคาดว่าคงรอความพร้อมของห้องฉีดสีหัวใจให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน
อย่างไรก็ตามในวันที่ 25
พฤษภาคมนี้นับเป็นวันเกิด หรือวันเริ่มต้นโครงการเปิดสวิตช์หัวใจ
และวันที่ 26 พฤษภาคม ทางโรงพยาบาลลำปางจะจัดงาน “จากสวิตช์หัวใจสู่มูลนิธิโรคหัวใจ” ด้วย
อุปกรณ์ทางการแพทย์ของศูนย์โรคหัวใจฯ
นั้น อย่างที่กล่าวในตอนต้นว่าไม่เป็นรองใคร แต่เหนือสิ่งอื่นใด เครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยคงไม่มีความหมายหากไร้ซึ่งทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญและทุ่มเท
ทีมศัลยแพทย์โรคหัวใจของศูนย์โรคหัวใจฯ
มีทั้งหมด 4
คน ซึ่งในอนาคตจะต้องผลัดเปลี่ยนกันไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ได้แก่ นายแพทย์ณัฐพล
อารยวุฒิกุล ซึ่งนับเป็นแพทย์รุ่นบุกเบิก แพทย์หญิงบุญทรัพย์ ศักดิ์บุญ
นายแพทย์เจริญ ชีวินเมธาสิริ และนายแพทย์อังศุธ์ร ชาติรังสรรค์ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีตำแหน่งเป็นนายแพทย์ชำนาญการพิเศษ
เป็นการผนึกกำลังกันของแพทย์ด้านหัวใจรุ่นใหม่ไฟแรงที่ทำงานด้วยอุดมการณ์อย่างน่ายกย่อง
นอกจากทีมแพทย์แล้ว
ยังต้องมีทีมงานที่เข้มแข็งไม่แพ้กัน เช่น พยาบาล ซึ่งไม่ใช่พยาบาลทั่วไป
แต่ต้องเป็นพยาบาลเฉพาะทาง คือชำนาญการด้านนี้ด้วย
เพราะต้องดูแลผู้ป่วยทั้งก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัด จนกระทั่งผู้ป่วยกลับบ้านก็ต้องให้คำแนะนำอย่างเคร่งครัดและถูกต้อง
ซึ่งขณะนี้มีพยาบาลเฉพาะในห้องไอซียูจำนวน 15 คน พยาบาลในห้องผ่าตัดอีก 11
คน นอกจากนี้ ก็ยังมีแพทย์วิสัญญี นักเทคโนโลยีปอดและหัวใจเทียม
ตลอดจนบุคลากรด้านอื่น ๆ ที่ประกอบกันเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนศูนย์โรคหัวใจฯ
ให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายแพทย์อังศุธ์รกล่าวว่า
โดยทั่วไปแพทย์จะผ่าตัดผู้ป่วยวันละ 3 ราย บางรายใช้เวลาถึงกว่า 10
ชั่วโมง และแต่ละครั้งที่ผ่าตัดต้องใช้แพทย์อย่างน้อย 2 คน ผู้ป่วยเด็กที่มีอายุน้อยที่สุด คือทารกที่มีน้ำหนักแรกคลอดเพียง 600
กรัม ส่วนผู้ป่วยที่มีอายุมากที่สุด คือ 93 ปี
ซึ่งความเสี่ยงก็ขึ้นอยู่กับอายุด้วยเช่นกัน
ปีหนึ่ง ๆ
เฉพาะที่ศูนย์โรคหัวใจฯ ของเรามีผู้ป่วยจากเขตภาคเหนือมาเข้ารับการผ่าตัดหัวใจประมาณ
600 ราย ทั้งจากแพร่ น่าน พะเยา อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร ฯลฯ ขณะที่ในเขตภาคเหนือมีโรงพยาบาลของรัฐที่สามารถผ่าตัดหัวใจได้และสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
ได้แก่ ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลกเท่านั้น
(โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย)
และประเทศไทยก็มีแพทย์ผ่าตัดหัวใจเพียงราว ๆ 200 คน
ซึ่งในเรื่องนี้ นายแพทย์อังศุธ์รเห็นว่า ยังมีผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกมากที่ยังไม่ได้รับโอกาสในการรักษา
“มีผู้ป่วยอีกมากครับที่ยังรอเราอยู่” นายแพทย์หนุ่มโคลงศีรษะ “ทุกคนควรได้รับโอกาสเท่าเทียมกันในการรักษา” ความมุ่งมั่นของศูนย์โรคหัวใจฯ
สะท้อนออกมาในรูปแบบการจัดทีมแพทย์สัญจรไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วภาคเหนือ เพื่อไปตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น
ให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง หรือหากต้องเข้ารับการผ่าตัดก็จะนัดวันเวลาให้
ผู้ป่วยที่อยู่ไกล ๆ จึงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับโรงพยาบาล จะมาก็ต่อเมื่อวันผ่าตัดหัวใจเพียงครั้งเดียว
ซึ่งโครงการนี้นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และทีมงานทุกคนก็เดินทางไปให้บริการกันด้วยใจอย่างแท้จริง
“เวลาออกสัญจรไปเห็นคนไข้ที่เราเคยรักษาเขาหายป่วย
บางคนถักเสื้อให้ บางคนเก็บผักที่สวนมาให้ก็มี นั่นเป็นน้ำใจที่ผมได้รับแล้วรู้สึกว่ามีค่ามาก
แต่สิ่งที่ผมซาบซึ้งใจกว่านั้นก็คือ ผมเห็นคนไข้ของผมหายครับ” นายแพทย์อังศุธ์รกล่าวพลางยิ้ม
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 978 ประจำวันที่ 16 - 22 พฤษภาคม 2557)