เป็นเวลากว่า
5 วันแล้ว ที่ละแวกบ้านของเราระเบ็งเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงเลื่อยยนต์ ต้นมะม่วงเก่าแก่ต้นหนึ่งใช้เวลาเติบโตมาไม่ต่ำกว่า
20 ปี แต่ถูกตัดลงจนเหลือแต่ตอภายในเวลาครึ่งวัน
ร่มเงาที่เคยเผื่อแผ่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันไม่ได้สร้างความผูกพันใด ๆ ไว้ให้ผู้เป็นเจ้าของเลย ต้นมะม่วงเก่าแก่ต้นนั้น
เป็นที่ทำรังวางไข่ของนกจับแมลงจุกดำ และมันมีค่าไม่ถึง 500 บาท
ก่อนหน้านั้น
มีการมากว้านซื้อต้นไผ่ในหมู่บ้านเป็นระยะ ตามมาด้วยต้นมะม่วงและต้นฉำฉา
ต้นฉำฉาเก่าแก่ 3
ต้นกำลังถูกระดมตัดโดยเลื่อยยนต์ที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งก็ไม่แน่ว่าไปขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายหรือเปล่า
และสเป็กตรงตามที่ไปขอขึ้นทะเบียนหรือไม่ กระรอกที่เคยวิ่งเล่นไปมาระหว่างต้นฉำฉาทั้งสาม
วันนี้แตกตื่นวิ่งกันพล่าน พวกมันไร้ที่อยู่
ลูกน้อยในรังอาจกำลังหายใจรวยริน...นกเค้าแมวที่เคยอาศัยเกาะพักคงแปลกใจว่าต้นไม้ของมันหายไปไหน...แต่ใครล่ะจะสน
เสียงกิ่งก้านค่อย
ๆ ฉีกขาดก่อนหลุดร่วงลงดิน คนรักต้นไม้ได้ยินแล้วปวดหัวใจยิ่งนัก ดูเหมือนว่ามนุษย์จะมองต้นไม้เป็นสิ่งกีดขวางอยู่เสมอ
แล้วลงโทษมันด้วยการโค่นทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย หากใครยังจำได้
บริเวณซุ้มประตูเมืองเก่าเขลางค์นครย่านท่ามะโอก็เคยมีต้นฉำฉาเก่าแก่อยู่
แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ มันถูกตัดทิ้งชนิดที่ไม่มีการประนีประนอม ยังไม่นับรวมต้นอื่น
ๆ อีกหลายชนิดที่วันดีคืนดีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
พืชสีเขียวชนิดแรก
ๆ เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว อาศัยอยู่ในน้ำทะเลจนราว 400 ล้านปีที่แล้วจึงเกิดปฏิวัติใหญ่
พืชปรับตัวขึ้นมาอยู่บนบก ทว่าการใช้ชีวิตบนบกไม่ใช่เรื่องง่าย
พืชต้องพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแรงค้ำจุนตัวเอง เพราะอากาศไม่หนาแน่นเช่นน้ำ และมันต้องมีระบบรากเพื่อหาน้ำและแร่ธาตุจากในดิน
ในช่วงแรก
พืชบกยังขึ้นใกล้แหล่งน้ำ และยังไม่มีระบบรากใหญ่โตมาก แต่ต่อมาพืชแผ่อาณาจักรเข้าครอบครองแผ่นดินไปเกือบทั่วโลก
มันสามารถใช้ชีวิตไกลจากแหล่งน้ำ บางชนิดก็ใช้น้ำเพียงนิดเดียว
พวกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการนี้ ได้แก่ พืชมีเมล็ดทั้งหลาย
ทั้งพวกสนและไม้ดอก ไม่เพียงเพราะว่าพวกมันมีระบบผสมพันธุ์แบบใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งน้ำเป็นสื่อ
แต่พืชมีเมล็ดมากมายหลายชนิดยังมีระบบรากกว้าง ใหญ่โต และแข็งแรง
สามารถชอนไชทะลุดินและหินเพื่อค้นหาน้ำและแร่ธาตุมาเลี้ยงร่างกายที่ใหญ่โตและสร้างกิ่งก้านที่แผ่รับแดดไว้ได้ก่อนใคร
ๆ
พืชพวกนี้ไม่ใช่พืชธรรมดา
เป็นพืชแบบใหม่ เป็นต้นไม้ ความสูงของต้นไม้ทำให้มันได้เปรียบพืชต้นเตี้ย ๆ
ต้นอื่น
กดดันให้พืชต้นเตี้ยหลายชนิดต้องปรับตัวหาวิธีใช้แสงใต้ร่มไม้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อโลกเกิดมาใหม่
ๆ บรรยากาศของโลกยังไม่มีก๊าซออกซิเจนอยู่เหมือนทุกวันนี้
จนเมื่อพืชสีเขียววิวัฒนาการขึ้นมาและปฏิวัติโลกทั้งใบด้วยการปล่อยของเสียในรูปออกซิเจนจากกระบวนการสังเคราะห์แสง
จนทุกวันนี้โลกทั้งใบปรับตัวเข้าที่กับการอยู่ร่วมกับต้นไม้แล้ว
และการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ตลอดจนการคงสภาพเดิมของโลกเอาไว้
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งต้นไม้
ผืนโลกมีหน้าดินเต็มไปด้วยแร่ธาตุและสารอินทรีย์จากต้นไม้
ซึ่งจะถูกชะล้างจนเหลือแต่หินข้างใต้เปล่า ๆ เช่นเดิม ถ้าไม่มีต้นไม้
หรือพืชอื่นขึ้นคลุมกันแรงกระแทกจากเม็ดฝนและยึดกอดไว้ด้วยระบบรากพืช
หลายชนิดกลับขึ้นได้ดีเฉพาะใต้ร่มไม้แสงรำไร
อีกหลายชนิดต้องอาศัยเกาะต้นไม้ใหญ่เป็นที่พักพิง ส่วนสัตว์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะทำอาหารเองไม่ได้
ต้องกินพืชเพื่อเอาพลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะสำหรับมนุษย์เรา
ที่จะต้องตายภายในเวลาไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ ถ้าขาดก๊าซพิษออกซิเจน
ซึ่งในแง่หนึ่งก็คือ ของเสียจากโรงงานปรุงอาหารของพืชนั่นเอง
สำหรับเรา
ต้นไม้จึงเป็นเพื่อนที่ประเสริฐสุด
อาจเป็นเพราะต้นไม้คือสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่เฉย
ๆ ไม่มีอาการร้องขอชีวิตให้เราใจอ่อน เราจึงตัดมันได้โดยไม่รู้สึกผิดบาป
นึกถึงตอนเป็นเด็กที่ครูให้เพาะเมล็ดถั่วเขียวในกระป๋องนม
เด็ก ๆ เพียรรดน้ำ เฝ้าดูเมล็ดพืชเติบโตอย่างทะนุถนอม
จนวันหนึ่งยอดใบเลี้ยงสองใบก็ดีดตัวออกมาให้เด็กน้อยตื่นเต้นยินดี
หลายคนจำต้นไม้ต้นแรกของเขาไม่ได้
ทุกวันนี้เราต่างคุ้นชินกับกิจกรรมปลูกป่า
ซึ่งเป็นกิจกรรม CSR
ยอดฮิตขององค์กรต่าง ๆ การระดมคนเพื่อปลูกป่าอาจหมายถึงการรับรู้ชะตากรรมของป่าไม้ที่กำลังหายไปของบ้านเรา
นั่นเพราะเราไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้คนพลเมืองรักต้นไม้ รักธรรมชาติตั้งแต่เยาว์วัย
เพราะต้นไม้ต้นหนึ่งที่โค่นลงมา ไม่ได้หมายความเฉพาะตัวมันเองเท่านั้นที่จะหายไป
แต่ระบบนิเวศอันเกี่ยวเนื่องก็พลอยหายไปด้วย ไม่เช่นนั้น คงไม่มีประโยคที่ว่า “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว” แน่ ๆ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 978 ประจำวันที่ 16 - 22 พฤษภาคม 2557)